เห็นหลายคนบอกว่า Joker (2019) เป็นหนัง dark … เดินออกมาจากโรงหนังก็ไม่ได้รู้สึกถึงความ dark เลยนะ

โอเคแหละว่า setting มันเป็นช่วงเวลาที่ย่ำแย่ คนรวยมีแต่รวยเอารวยเอา ส่วนคนจนอีกนิดเดียวจะอดตายอยู่แล้ว และความรุนแรงต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็เป็นการประกาศกร้าวว่า “กูจะไม่ยอมมึงอีกต่อไป”

แต่ให้กลับมานั่งนึกยังไง ก็ยังไม่รู้สึกถึงความ dark อยู่ดี

เพราะถึงแม้ผลลัพธ์จะ chaostic แค่ไหน แต่หลักคิดของ Arthur Fleck (หรือ Joker) ก็ดูจะเป็นแค่ความต้องการลืมตาอ้าปากและมีที่ยืนในสังคม พร้อมทั้้งเอาคืนคนที่เคยกลั่นแกล้งตนอย่างหนักหน่วงเท่านั้น ดังจะเห็นได้จากการละเว้นผู้บริสุทธิ์จิตใจดีนั่นเอง

แง่นี้แล้ว ก็อาจพูดได้ว่า Arthur ไม่ได้เป็นตัวละครที่ dark เลยแม้แต่นิดเดียว กลับกันที่ว่าจริงๆ แล้วเค้าเป็นเพียงคนอ่อนโยนคนหนึ่งที่ถูกสังคมรังแกจนทนไม่ไหว ก็เท่านั้น

หรือกระทั่งสังคมในหนังที่ดูจะ dark ในช่วงต้น แต่เมื่อประชาชนลุกฮือขึ้นมา สถานการณ์ก็เริ่มดูมีท่าทีจะคลี่คลาย แม้จะยังไม่รู้แน่ชัดว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามที

ช่วงเวลาไล่เลี่ยกันนี้ อยู่ดีๆ ก็นึกถึง Nightcrawler (2014) ที่เราจะได้เห็นชีวิตของ Louis Bloom ดำดิ่งลงสู้ความมืดมิดไปเรื่อยๆ ในช่วงแรกก็เป็นเพียงแค่การดิ้นรนเอาตัวรอดเท่านั้น แต่เมื่อความทะเยอทะยานเข้าครอบงำ เป้าหมายการใช้ชีวิตก็เปลี่ยนไป

การตัดสินใจต่างๆ ของ Louis นั้น แม้มองเผินๆ อาจเหมือนว่าไม่ต่างจาก Arthur ที่ต้องการมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม แต่หากมองในรายละเอียดให้ดีแล้ว วิธีการที่ Louis เลือกใช้นั้นมีตรรกะการวางแผนอันแยบยล ไม่ใช่เพียงแค่การตัดสินใจกับเรื่องเฉพาะหน้าอย่างที่ Arthur ทำ

และไม่เพียงแต่การวางแผนที่รัดกุมเท่านั้น Louis ยังเลือกที่จะละทิ้งแง่มุมความเป็นมนุษย์ แล้วก้าวข้ามเส้นศิลธรรมตามบรรทัดฐานสังคม เพื่อที่จะได้สำเร็จผลตามที่วางแผนไว้เท่านั้น

ไม่มีโกรธ ไม่มีเกลียด ไม่มีเรื่องส่วนตัว มีแต่การตัดสินใจที่จะทำให้ได้ผลลัพธ์ดีที่สุด

แม้ฉากหลังจะเป็นสังคมธรรมดาที่ไม่มีการจลาจล แต่ก็สัมผัสได้ทันทีถึงรังสีความ dark ที่พุ่งพล่านแผ่ออกมาจากตัวละคร ความดำมืดในจิตใจที่ไม่หลงเหลือซึ่งความเป็นมนุษย์ไปเรียบร้อยแล้ว

Originally published on: Facebook

neizod

author