มาคำนวณสุริยุปราคาอย่างง่ายกันเถอะ
18 สิงหาคมอาจไม่ใช่วันที่สลักสำคัญสำหรับใครหลายคนเท่าไหร่ แต่เมื่อ 153 ปีก่อน ณ ตำแหน่งหนึ่งในอาณาจักรเล็กๆ ทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นต่อชาติใด ได้ปรากฎเงามืดของดวงจันทร์พาดผ่านลงมายังพื้นโลก ซึ่งถูกทำนายไว้ได้อย่างแม่นยำโดยเจ้าผู้ครองนครในช่วงเวลานั้น จนเรียกได้ว่าเป็นหมุดหมายสำคัญที่วางรากฐานให้กับวิทยาศาสตร์ในประเทศดังกล่าวกันเลยทีเดียว … ว่าแต่ว่าการคำนวณเงาจันทร์เนี่ย เค้าทำได้กันยังไงน้อ?
วงโคจรเอ๋ยจงซับซ้อนขึ้นอีก
มนุษย์โลกเรานั้นตั้งข้อสังเกตมาเนิ่นนานแล้วว่าโลกมีสัณฐานเป็นทรงกลม และเช่นเดียวกับกับเทหวัตถุบนท้องฟ้าทั้งหลายอย่างดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ด้วย แต่ในด้านเส้นทางโคจรนั้นเราใช้เวลาไม่น้อยเลยกว่าจะเลิกสำคัญตนผิดคิดว่าโลกเป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาล ซึ่งเริ่มจากสังเกตข้อมูลทางเดินของดาวเคราะห์ที่มีรูปแบบการโคจรแตกต่างออกไปจากดาวฤกษ์พื้นหลัง และยอมรับว่าหากให้ดาวเคราะห์ต่างๆ โคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นวงกลมแล้วจะทำให้คำอธิบายง่ายลงกว่าเดิมมาก
แต่นั่นก็เป็นเพียงคำอธิบายที่ลดทอนให้เรียบง่ายเพื่อบรรจุลงในบทเรียนดาราศาสตร์พื้นฐานในปัจจุบัน เพราะหากดูรายละเอียดให้ลึกลงไปแล้ว การให้วงโคจรดาวเคราะห์เป็นวงกลมและเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงที่ ก็ไม่ได้ช่วยทำนายวงโคจรได้อย่างแม่นยำเสียทีเดียว โลกเรายังต้องรอการเก็บบันทึกข้อมูลเส้นทางดาวอันแม่นยำนับหลายทศวรรษจาก Tycho Brahe และการตีความข้อมูลจากลูกศิษย์ Johannes Kelper จนทำให้เราได้โมเดลที่แม่นยำว่าดาวเคราะห์โคจรเป็นวงรีรอบดวงอาทิตย์ที่อยู่ ณ จุดโฟกัสจุดหนึ่ง โดยเส้นตรงเชื่อมดาวเคราะห์ถึงดวงอาทิตย์จะกวาดพื้นที่ ณ ช่วงใดๆ ได้เท่ากันเมื่อเวลาผ่านไปเท่ากัน ซึ่งแม้เราจะไม่ค่อยเห็นผลชัดเจนสำหรับดาวเคราะห์หลักๆ ที่มีวงโคจรเกือบเป็นวงกลม แต่โมเดลนี้ก็สอดคล้องเป็นอย่างดีกับบรรดาดาวหางที่มีวงโคจรเป็นวงรีอย่างชัดเจน ที่จะเดินทางเร็วขึ้นเมื่อเข้าใกล้ดวงอาทิตย์นั่นเอง
กฎการเคลื่อนที่ดาวเคราะห์ของ Kepler
และนอกจากนี้เรายังสังเกตว่าได้อีกว่า วงโคจรของดาวเคราะห์ต่างๆ รอบดวงอาทิตย์ก็ไม่ได้อยู่ในระนาบเดียวกันพอดีเป๊ะอีก แต่จะมีความเอียงของวงโคจรมากบ้างน้อยบ้างตามลักษณะเฉพาะของดาวแต่ละดวง ซึ่งเมื่อนำแนวคิดนี้มาใช้กับข้อมูลที่สังเกตได้จากดวงจันทร์ของโลก โดยให้ระนาบที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์เป็น 0° จะได้ว่าระนาบสัมพัทธ์ของดวงจันทร์ที่โคจรรอบโลกอยู่ที่ 5.14° ซึ่งดูเผินๆ แม้จะเป็นมุมนิดเดียว แต่อย่าลืมว่าดวงจันทร์นั้นอยู่ห่างจากโลกเป็นระยะทางเฉลี่ยประมาณ 385,00 กิโลเมตร ดังนั้นเมื่อดวงจันทร์อยู่ ณ จุดสูงสุด (หรือต่ำสุด) บนระนาบวงโคจรรอบโลก มันจะอยู่ห่างจากระนาบที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ได้สูงถึง 33,000 กิโลเมตรเลยทีเดียว นี่เป็นระยะทางที่สูงกว่าการนำโลกอีกสองใบมาวางเทินบนโลกใบเดิมเสียอีก!
ระนาบวงโคจรของดวงจันทร์ที่เอียง 5.14°
ดังนั้นการจะเกิดสุริยุปราคาได้ เพียงแค่ดวงจันทร์โคจรมาอยู่ระหว่างโลกและดวงอาทิตย์ยังไม่พอ แต่ดวงจันทร์ยังต้องอยู่ในบริเวณที่ระนาบทั้งสองตัดกันอีกด้วย เราเรียกจุดบนวงโคจรที่ระนาบทั้งสองตัดกันว่าโหนด ซึ่งจะมีสองโหนดได้แก่โหนดขึ้นและโหนดลงนั่นเอง และแม้ว่าการที่ดวงจันทร์โคจรรอบโลกหนึ่งรอบจะต้องผ่านโหนดทั้งสองอย่างละหนึ่งครั้ง แต่เพราะโลกก็โคจรรอบดวงอาทิตย์ด้วยเช่นกัน จึงทำให้จังหวะที่โหนดหนึ่งๆ จะอยู่ตรงกลางระหว่างโลกและดวงอาทิตย์พอดีมีเพียงแค่สองครั้งในหนึ่งปี นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมโลกเราจึงไม่มีเหตุการณ์สุริยุปราคาอันแสนตื่นเต้นให้ได้ติดตามรับชมทุกเดือน แต่ในหนึ่งปีจะมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้เพียงสองครั้งเท่านั้นนั่นเอง
แต่การเกิดสุริยุปราคานี้ดวงจันทร์ไม่จำเป็นต้องอยู่บนโหนดพอดีก็ได้ เพียงแค่อยู่ใกล้เคียงก็พอ เราสามารถประมาณปัญหานี้เป็นโจทย์ตรีโกณมิติอย่างหยาบๆ ได้ กล่าวคือดวงจันทร์ไม่ควรอยู่ห่างจากระนาบที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นระยะทางสูง/ต่ำเกินรัศมีของโลก นี่ทำให้ได้ช่วงบนวงโคจรขนาดประมาณ 20° รอบโหนดที่ยังพอมีหวังให้เกิดสุริยุปราคาได้นั่นเอง
ระยะใกล้เคียงกับโหนดที่ใกล้มากพอที่เงาของดวงจันทร์จะยังตกกระทบผิวโลก
และอันที่จริงเราก็ไม่ได้เห็นสุริยุปราคาปีละสองครั้งพอดีเป๊ะซะทีเดียว เพราะถ้าดูรายละเอียดคาบการโคจรแล้ว จะพบว่าโลกใช้เวลาประมาณ 365.25 วันในการโคจรรอบดวงอาทิตย์หนึ่งรอบ ส่วนดวงจันทร์ใช้เวลาประมาณ 29.53 วันในการโคจรรอบโลกครบหนึ่งรอบเมื่อเทียบดวงอาทิตย์เป็นฉากหลัง (คาบซินอดิก) สังเกตว่า 6 รอบซินอดิกมีค่า 177.18 วัน ซึ่งใกล้เคียงกับระยะเวลาที่โลกใช้เพื่อโคจรรอบดวงอาทิตย์ครึ่งรอบอยู่มาก นั่นหมายความว่าหากมีเหตุการณ์สุริยุปราคาเกิดขึ้นเมื่อดวงจันทร์อยู่ ณ ตำแหน่งโหนดพอดี เมื่อผ่านไปอีก 177 วันกับอีกสี่ชั่วโมงครึ่งนิดๆ ก็จะเกิดสุริยุปราคาได้อีกครั้งเพราะดวงจันทร์ขยับกลับเข้ามาใกล้กับโหนดในด้านตรงกันข้ามนั่นเอง
การวนไปจนเจอโหนดฝั่งตรงข้ามและเกิดสุริยุปราคาอีกครั้ง
แต่ว่าตำแหน่งของโหนดทั้งสองก็ไม่ได้อยู่นิ่งๆ ค้างฟ้าอยู่เรื่อยไป เพราะระนาบวงโคจรของดวงจันทร์นั้นก็หมุนรอบโลกไปเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน โดยมันหมุนไปในทิศทางตรงกันข้ามกับที่ดวงจันทร์โคจรรอบโลก ซึ่งจะหมุนกลับมาครบรอบเดิมทุกๆ 18.6 ปีโลก เราวัดระยะเวลาที่ดวงจันทร์โคจรครบหนึ่งรอบแล้วกลับมายังโหนดเดิม (คาบดราโคนิค) ได้ 27.21 วัน นี่หมายความว่าในเวลา 177.18 วัน ดวงจันทร์จะอยู่ห่างจากโหนดด้านตรงข้ามเพียง 4.0° เท่านั้น แต่ในหนึ่งรอบซินอดิก 29.53 วันนั้นดวงจันทร์โคจรได้ระยะมุมเป็น 29.1° นั่นหมายความว่าโดยประมาณแล้วเมื่อครบ 7 รอบการเกิดสุริยุปราคาที่ทิ้งช่วงกัน 6 เดือน จะมีสุริยุปราคาที่ทิ้งช่วงเพียง 5 เดือนมาคั่นอยู่หนึ่งครั้ง หรือบางครั้งก็เกิดเป็นสุริยุปราคาติดกันสองเดือน เพราะดวงจันทร์โคจรคร่อมระหว่างโหนดในระยะที่เอื้อให้เกิดสุริยุปราคาได้ทั้งคู่พอดี (ตัวอย่างเช่นในปี 2011 เกิดสุริยุปราคาวันที่ 1 มิถุนายน และ 1 กรกฎาคม)
และถ้าเราขยายข้อสังเกตนี้ออกไปเป็นช่วงที่ยาวและละเอียดขึ้น เราก็จะได้คาบแซรอส ซึ่งกินเวลา 18 ปี 10 วันกับอีก 8 ชั่วโมง เพราะว่าคาบซินอดิก (29.53 วัน) จำนวน 223 รอบเท่ากับ 6,585.2 วัน และคาบดราโคนิก (27.21 วัน) จำนวน 242 รอบเท่ากับ 6584.8 วัน ซึ่งนับว่าใกล้เคียงกันมาก ทำให้เมื่อครบคาบแซรอสแล้วตำแหน่งของดวงอาทิตย์โลกและดวงจันทร์จะคล้ายกับถูกรีเซ็ตให้กลับมาอยู่ที่เดิม (ไม่เป๊ะเสียทีเดียวแต่ก็ใกล้เคียงมาก) ทำให้การเกิดสุริยุปราคาครั้งถัดไปแทบจะเรียกได้ว่าซ้ำรอยกับครั้งก่อนหน้าในคาบแซรอสที่แล้ว จะยกเว้นก็เพียงแต่เรื่องเวลา 8 ชั่วโมงที่เกินออกมา ที่บอกว่าสุริยุปราคานั้นเลื่อนไปเกิด ณ ตำแหน่งหนึ่งในสามซีกโลกถัดไปเท่านั้น
พยากรณ์การเกิดสุริยุปราคาในคาบแซรอสหมายเลข 136 ภาพจาก NASA
นั่นหมายความว่า ถ้าเราเก็บข้อมูลสุริยุปราคามาเพียงประมาณสองทศวรรษ เราก็จะพยากรณ์วันเวลาที่จะเกิดสุริยุปราคาในอนาคตถัดๆ ไปได้อย่างไม่น่าเกลียดแล้ว (แต่ความเป็นจริงเราอาจต้องเก็บข้อมูลเป็นศตวรรษ กว่าจะสร้างโมเดลที่ทำนายได้แม่นยำ กว่าจะชักนำสังคมให้หันมาเข้าใจการคำนวณต่างๆ)
ทางของเงา
คำถามต่อมาคือ แล้วเราจะพยากรณ์ตำแหน่งที่เงาของดวงจันทร์จะพาดผ่านบนผิวโลกได้อย่างไร? ก่อนอื่นเราควรมารู้จักเงาที่เกิดจากดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์เสียก่อน ซึ่งแบ่งได้เป็น 3 แบบดังนี้
- เงา umbra เป็นเงามืดสนิทเพราะดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์มิด หากอยู่บริเวณนี้เราจะสังเกตเห็นสุริยุปราคาเต็มดวงได้
- เงา penumbra เป็นเงาที่มีลักษณ์เป็นดวงจันทร์กัดดวงอาทิตย์แหว่งไป ดังนั้นเราจะเห็นสุริยุปราคาบางส่วน (ดวงอาทิตย์เป็นเสี้ยว)
- เงา antumbra เป็นเงาที่ดวงจันทร์พยายามบังดวงอาทิตย์ด้วยตัวเองทั้งหมด แต่บังไม่มิดเพราะขนาดปรากฏบนท้องฟ้าของดวงจันทร์เล็กกว่าดวงอาทิตย์นั่นเอง นี่ทำให้เราได้สุริยุปราคาวงแหวน
บริเวณเงาทั้งสามแบบที่เกิดขึ้นได้ ระบายสีแยกกันชัดเจนเพื่อป้องกันความสับสนว่าเป็นความเข้มเงา
การจะบอกได้ว่าสุริยุปราคาครั้งใดให้เงาแบบไหน ทำได้ผ่านการคำนวณขนาดปรากฏของทั้งดวงอาทิตย์และดวงจันทร์บนท้องฟ้า ณ เวลาที่จะเกิดสุริยุปราคา ซึ่งจากที่เราทราบแล้วว่าวงโคจรของเทหวัตถุทั้งหลายบนท้องฟ้าล้วนเป็นวงรี จึงทำให้มีช่วงที่เทหวัตถุเหล่านั้นเข้าใกล้หรือห่างไกลจากเรามากกว่าค่าเฉลี่ย แม้การสังเกตด้วยตาเปล่าจะไม่มีทางแยกความแตกต่างได้ (ขนาดของดวงอาทิตย์นั้นถือว่าค่อนข้างคงที่ที่ประมาณ 0.53° ส่วนดวงจันทร์นั้นผันแปรอยู่ในช่วงตั้งแต่ 0.49° ถึง 0.57° เลยทีเดียว) แต่มันก็ส่งผลอย่างมากต่อชนิดของสุริยุปราคาที่เราจะสังเกตได้ อันที่จริงแล้วในคาบแซรอสนั้นเราก็ได้พิจารณาถึงคาบที่ดวงจันทร์เริ่มจากจุดที่อยู่ใกล้โลกที่สุดแล้วโคจรรอบโลกหนึ่งรอบจนกลับมาอยู่ที่จุดใกล้โลกที่สุดอีกครั้ง (คาบวิปริต) ที่มีค่า 27.55 วันอีกด้วย จึงทำให้สุริยุปราคาแต่ละครั้งมีลักษณ์คล้ายกันมาก เพราะดวงจันทร์กลับไปอยู่ในตำแหน่งที่ใกล้/ไกลจากโลกเช่นเดียวกับครั้งก่อนๆ นั่นเอง และเมื่อทราบถึงขนาดเชิงมุมของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ในสุริยุปราคาครั้งนั้นๆ แล้ว เราก็ควรคำนวณรัศมีของเงาแบบต่างๆ ผ่านตรีโกณมิติได้อย่างไม่ยากเย็นอะไร
รัศมีของเงาสองประเภทที่ถูกฉายบนพื้นโลก
กลับมาที่การหาบริเวณที่เงาจะพาดผ่าน สังเกตว่ารัศมีของโลกนั้นมีค่าเพียงเล็กน้อยแทบจะเทียบไม่ได้เลยกับระยะห่างจากโลกถึงดวงจันทร์ ดังนั้นเพื่อลดทอนความยุ่งยากในโมเดลพื้นฐาน เราอาจมองว่าโลกแบนและตั้งฉากกับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เลยก็ได้ ซึ่งเมื่อเราจับดวงจันทร์ให้โคจรผ่านหน้าโลกเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ แล้ว เราก็จะเห็นเส้นทางเงาที่วิ่งจากขอบหนึ่งของโลกไปยังอีกขอบอย่างเรียบง่ายเป็นเส้นตรงได้อย่างไม่ยากเย็นอะไร
ซึ่งนั่นก็เป็นหัวใจของโมเดลเงาสุริยุปราคาที่ Friedrich Bessel พัฒนาขึ้นมาในปี 1824 และยังถูกใช้จนถึงปัจจุบัน แต่การคำนวณจริงไม่ได้ง่ายดายและจบเพียงเท่านั้นเพราะ 1) โลกไม่ได้แบน 2) แกนหมุนโลกเอียง 23.44° และ 3) โลกหมุนรอบตัวเองตลอดเวลา ดังนั้นเมื่อเราได้เส้นทางของเงาบนระนาบมาแล้ว เราจึงต้องฉายภาพเงากลับไปยังผิวโลกที่เป็นทรงกลมด้วย จึงทำให้ได้เส้นทางเงาที่ดูคดโค้งไม่สามารถคาดเดาได้โดยง่ายเหมือนอย่างตอนฉายลงระนาบนั่นเอง
การฉายภาพเงาจากระนาบสมมติฐานโลกแบนกลับไปยังลูกโลกทรงกลมเหมือนจริง
แล้วคนทำแผนที่เค้าต้องมานั่งคำนวณอะไรยุ่งยากเช่นนี้ทุกครั้งหรือ? อย่างที่เราได้รู้จักกับคาบแซรอสไปแล้ว นั่นหมายความข้อมูลการเกิดสุริยุปราคาเมื่อ 18 ปีก่อน (ที่ไม่จำเป็นต้องมาจากการคำนวณแต่เป็นการสังเกตก็ได้) จะช่วยนำทางให้การคำนวณเส้นทางเงาครั้งใหม่ง่ายขึ้นมาก นอกจากนี้ยังมีการประดิษฐ์เครื่องฉายสุริยุปราคามาตั้งแต่ปี 1756 หรือมีการจัดพิมพ์รายงานเส้นทางเงาออกมาเป็นรูปเล่มที่ไม่เพียงเฉพาะสำหรับนักเดินเรือ แต่ยังจับตลาดบุคคลทั่วไปตั้งแต่ 1737 แล้วด้วย
เครื่องฉายสุริยุปราคา eclipseareon ของ James Ferguson ในปี 1756
คำนวณรายละเอียด ณ จุดสังเกตการณ์
แม้การคำนวณที่ผ่านมาจะทำให้ได้เส้นทางที่น่าสนใจเพื่อลงหลักปักฐานสังเกตการณ์ แต่การคำนวณเหล่านั้นก็ยังเป็นแค่การคำนวณหยาบๆ เพื่อให้เห็นภาพรวมของสุริยุปราคาครั้งหนึ่งเท่านั้น ซึ่ง ณ จุดสังเกตการณ์หนึ่งๆ แล้วเรายังสามารถคำนวณเวลาต่างๆ ที่ดวงจันทร์จะเข้าบังดวงอาทิตย์ได้อีก โดยสุริยุปราคาแบบเต็มดวงอาจประกอบด้วย 4 เหตุการณ์สำคัญที่น่าสนใจคือ 1) ดวงจันทร์เริ่มสัมผัสดวงอาทิตย์ 2) ดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์ครบ 3) ดวงจันทร์เริ่มคายดวงอาทิตย์ 4) ดวงจันทร์ปล่อยดวงอาทิตย์จนหมด
จังหวะต่างๆ ที่สำคัญในการสังเกตสุริยุปราคา ภาพจาก WikiPedia
ปัญหาที่เหลือก็เป็นเพียงการหาตำแหน่งของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์บนท้องฟ้าในช่วงเวลาต่างๆ สำหรับดวงอาทิตย์แล้วเราสามารถคำนวณตำแหน่งได้ไม่ยาก เพราะหากเราสังเกตดวงอาทิตย์ ณ เวลาเดิมของทุกวัน เราจะพบว่าดวงอาทิตย์ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งเดิมบนท้องฟ้าเสียทีเดียว แต่จะมีการเคลื่อนที่เป็นรูปคล้ายสัญลักษณ์ ∞ ที่กินเวลายาวนานหนึ่งปีก่อนจะวนกลับมาที่เดิม ส่วนดวงจันทร์นั้นจะซับซ้อนกว่าเล็กน้อยตรงที่วงมีโคจรเอียง 5.14° เพิ่มขึ้นมานั่นเอง
แอนาเล็มมา ณ หอดูดาวหลวงเมืองเกรนิชตอนเที่ยงวัน
ประเทศไทยอยู่ตรงไหน?
ก่อนที่จะเข้าใจประวัติศาสตร์ตนเองอย่างถ่องแท้ได้ เราควรเข้าใจประวัติศาสตร์โลกควบคู่กันไปด้วย ซึ่งสรุปหลักใหญ่ใจความได้ตามตารางความรู้ของมนุษย์ชาติต่อสุริยุปราคาดังต่อไปนี้
ปี | ใคร | อะไร |
---|---|---|
22nd BC | ชาวจีน | เรื่องเล่าที่นักดาราศาสตร์ที่พลาดการทำนายสุริยุปราคา |
8th BC | ชาวอัสซีเรีย | บันทึกสุริยุปราคามิถุนายน 763 BC ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อให้เราสามารถเทียบเวลาในประวัติศาสตร์ได้ |
5th BC | ชาวบาบิโลน | แนวคิดคาบแซรอส |
4th BC | Euclid of Alexandria | ศึกษาเรขาคณิตที่สามารถสร้างได้โดยสันตรงและวงเวียน |
3rd BC | Eratosthenes of Cyrene | คำนวณขนาดของโลกด้วยตรีโกณมิติ |
3rd BC | Apollonius of Perga | ศึกษาภาคตัดกรวย (วงกลม วงรี พาราโบลา ไฮเพอร์โบลา) |
2nd BC | Hipparchus of Nicaea | คำนวณระยะจากโลกถึงดวงจันทร์โดยข้อมูลสุริยุปราคาและตรีโกณมิติ |
1st BC | ชาวกรีก | ประดิษฐ์กลไก Antikythera ที่หนึ่งในเฟืองมีฟัน 223 ซี่ |
2nd CE | Claudius Ptolemy | แนวคิดโลกเป็นจุดศูนย์กลาง โดยมีดาวเคราะห์และดวงอาทิตย์โคจรรอบ |
1543 | Nicolaus Copernicus | แนวคิดดวงอาทิตย์เป็นจุดศูนย์กลาง ดาวเคราะห์โคจรเป็นวงกลม |
1572 | Tycho Brahe | เริ่มจดบันทึกข้อมูลตำแหน่งดาว ซึ่งต่อมาถูกใช้โดย Kepler |
1609 | Johannes Kepler | กฎการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ที่มีวงโคจรเป็นวงรี |
1610 | Galileo Galilei | พิสูจน์ด้วยกล้องโทรทัศน์ว่าดวงอาทิตย์เป็นจุดศูนย์กลาง |
1614 | John Napier | ศึกษาเรขาคณิตทรงกลมด้วยฟังก์ชันลอการิทึมของตรีโกณมิติ |
1675 | John Flamsteed | เริ่มจดบันทึกข้อมูลตำแหน่งดาว ซึ่งต่อมาถูกใช้โดย Newton และ Halley |
1687 | Isaac Newton | กฎการเคลื่อนที่ของวัตถุและแรงโน้มถ่วง |
1715 | Edmond Halley | พยากรณ์สุริยุปราคาพฤษภาคม 1715 โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีของ Newton ทำนายพลาดไป 4 นาที |
1731 | John Hadley, Thomas Godfrey | ประดิษฐ์เครื่องวัดแดด (sextant) |
1737 | George Smith | ตีพิมพ์พยากรณ์สุริยุปราคาลง The Gentleman’s Magazine ซึ่งเป็นนิตยสารสำหรับผู้อ่านทั่วไป |
1756 | James Ferguson | ประดิษฐ์เครื่องฉายสุริยุปราคา Eclipsareon |
1824 | Friedrich Bessel | การคำนวณการฉายเส้นทางเงาสุริยุปราคาบนผิวโลก |
1887 | Theodor von Oppolzer | ตีพิมพ์ Canon der Finsternisse ที่พยากรณ์สุริยุปราคาและจันทรุปราคาตั้งแต่ 1207 BC ถึง 2161 |
1919 | Albert Einstein | ใช้สุริยุปราคาเพื่อพิสูจน์ความโค้งงอของอวกาศอันเนื่องมาจากแรงโน้มถ่วง |
1969 | NASA | Apollo 11 ติดตั้งอุปกรณ์เพื่อวัดระยะทางจากดวงจันทร์ถึงโลก ข้อมูลที่ได้ทำให้พยากรณ์ว่าในอนาคตจะไม่มีสุริยุปราคาเต็มดวงอีกต่อไป |
จากบทที่ผ่านๆ มาเราคงได้เห็นแล้วว่าการคำนวณสุริยุปราคานั้นมีรายละเอียดมากมายและแบ่งได้หลายระดับขั้น ก็นับว่าเป็นเรื่องน่าเศร้าทางการศึกษาที่ไม่มีการเรียนการสอนลงรายละเอียดเกี่ยวกับสุริยุปราคาที่หว้ากอในวันที่ 18 สิงหาคม 1868 เลย จนทำให้คนทั่วไปเข้าใจผิดคิดว่าเป็นการคำนวณสุริยุปราคาในทุกมิติ ตั้งแต่ประมวลผลข้อมูลนำมาสร้างเป็นโมเดลไปจนคำนวณวันเวลาตำแหน่งของการเกิดสุริยุปราคาแต่ละครั้งออกมา แต่ในความเป็นจริงแล้วเรามีเพียงหลักฐานการคำนวณเวลา ณ จุดสังเกตการณ์เท่านั้น เพราะด้านการสร้างโมเดลขึ้นมาเองด้วยความรู้ดั้งเดิมนั้น เป็นไปไม่ได้เลยเนื่องจากศาสตร์ที่เกี่ยวกับดวงดาวของไทย (เช่น โหร) ไม่เคยมีการจดบันทึกตำแหน่งดาวอย่างละเอียด หนำซ้ำการจดบันทึกตำแหน่งดาวของโหรก็ยังสื่อโดยนัยอีกว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ความรู้เกี่ยวกับดาราศาสตร์ทั้งหมดของไทยนั้น “ก้าวกระโดด” ขึ้นมาจากสมัยก่อนหน้า เนื่องจากเรารับเอาหนังสือตำราการคำนวณของตะวันตกมาใช้งานเลยทันที
ส่วนการคำนวณเส้นทางเงาที่ยุ่งยากนั้น ก็ไม่พบหลักฐานการคำนวณ ซ้ำยังมีหลักฐานแย้งเต็มไปหมด ตั้งแต่ว่าทำไมสุริยุปราคา 1868 ถึงถูกประกาศว่าจะเกิดล่วงหน้าเพียงแค่ 2 ปีเท่านั้น ทั้งที่วิทยาการในช่วงเดียวกันสามารถคำนวณสุริยุปราคาล่วงหน้าได้นับทศวรรษ หากไม่ก็เป็นศตวรรษเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งในเวลานั้นยังมีหนังสือ Nautical Almanac สำหรับปี 1868 ที่ตีพิมพ์ล่วงหน้าถึง 4 ปีโดยภายในมีตารางตัวเลขดวงดาวต่างๆ อย่างมากมาย พร้อมทั้งแผนที่เส้นทางการพาดผ่านของเงาอย่างชัดเจนอีกด้วย
Murray, John. “Nautical Almanac and Astronomical Ephemeris for the year 1868.”, London, (1864): 435.
นอกจากนี้การยกย่องให้ร.4 เป็นบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย ก็เพิ่งมีขึ้นตอนครบรอบรัตนโกสินทร์ 200 ปีเมื่อ 1982 ที่ผ่านมานี้เอง ทั้งยังเป็นการยกย่องแบบไม่กล่าวถึงนักวิทยาศาสตร์ที่มาก่อนหน้า หรือศึกษาลงรายละเอียดผลงานเพื่อให้นักวิทยาศาสตร์รุ่นหลังสามารถนำไปสานต่อได้เลย … ซึ่งก็ยิ่งน่าเสียดายเพราะ motto หนึ่งที่สำคัญในแวดวงวิทยาศาสตร์ก็คือ standing on the shoulders of giants นั่นเอง
อ้างอิง
- กุญแจแห่งฟากฟ้า: เรขาคณิตวิเคราะห์ จากกรีกโบราณถึงนิวตัน, ศุภวิทย์ ถาวรบุตร
- พระจอมเกล้าฯ พยากรณ์ : ความย้อนแย้งของ “ดาราศาสตร์” กับ “โหราศาสตร์” ในสังคมไทยสมัยใหม่, สิกขา สองคำชุม
- Eclipses (What Everyone Needs to Know), Frank Close
- Astronomia nova, Johannes Kepler
- Five Millennium Catalog of Solar Eclipses: –1999 to +3000, Fred Espenak and Jean Meeus
- Standford
- Atlas Obscura
- Max-Planck-Gesellschaft
- The Guardian
- Stand-up Maths
- Vox
- TED-Ed
- National Geographic
author