พุธิตา ชัยอนันต์
ความน่ายินดีของการเลือกตั้งครั้งนี้ (อย่างน้อยก็สำหรับผมคนหนึ่ง) ก็คือการที่ผมมีตัวเลือกที่น่าพึงพอใจให้ได้เลือกเสียที
(ขออนุญาตเลือกใช้รูปหลังการเลือกตั้ง แม้จะเป็นรูปที่ฮาแต่ก็มีข้อมูลสำคัญที่เป็นประโยชน์ครบถ้วน)
ออกตัวก่อนว่าตั้งแต่เกิดและเติบโตที่เชียงใหม่ การเลือกตั้งที่ผ่านมาแต่ละครั้งนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ต้องทำการบ้านเลย ยังไงเสียเสียงในท้องที่ก็เทให้เจ้าถิ่นเก่ามาตลอดอยู่แล้ว
แม้กระทั่งครั้งปี 62 ที่พรรคอนาคตใหม่ (ต่อมาในนามพรรคก้าวไกล) ได้เริ่มจุดกระแสการเมืองของคนรุ่นใหม่ขึ้นมา แต่ก็ต้องยอมรับตามตรงว่า ณ เวลานั้นการเลือกพรรคการเมืองเดิมดูจะเป็นทางเลือกที่ “เพลย์เซฟ” มากกว่า ยิ่งเมื่อคำนึงถึงสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่ปรกติในช่วงนั้นร่วมเข้าไปด้วย
แต่เวลา 4 ปีที่ผ่านมาในสภาของพรรคก้าวไกล ก็ได้พิสูจน์แล้วว่าพรรคสีส้มนี้จริงจังต่อการพดุงความยุติธรรม ดังจะเห็นได้จากอภิปรายไม่ไว้วางใจต่างๆ ที่เอาเรื่องราวทุจริตที่เคยเป็นเพียงเสียงกระซิบ ขึ้นมาตีแผ่กันตรงๆ ไม่เว้นหน้าใคร (รังสิมันต์ โรม) ไปจนถึงการวิเคราะห์วิจัยและนำเสนอข้อมูลอย่างละเอียดรอบ ไม่ได้ใช้เพียงแค่ลางสังหรณ์หรือโจมตีสาดสีเหมือนนักการเมืองรุ่นเก่า (ศิริกัญญา ตันสกุล)
ถึงกระนั้นก็ต้องยอมรับว่า ที่ผ่านมาพรรคก้าวไกลนั้นมีปัญหากับ “การจัดการคน” อยู่ไม่น้อย ตั้งแต่ส.ส.ย้ายพรรคแบบหน้าด้านๆ (ศรีนวล บุญลือ) หรือส.ส.ที่ใช้ความเชื่อทางศาสนาส่วนตนนำทางแล้วโหวตสวนมติพรรค (ปดิพัทธ์ สันติภาดา) ไปจนถึงเรื่องนอกสภาอย่างการล่วงละเมิดทางเพศ (สัณห์ สัณห์สิทธิ์) หรือเป็นเด็กเบียวยียวนกวนประสาทจนแยกไม่ออกว่าเวลาไหนอะไรควรพูดไม่ควรพูด (จิรัฎฐ์ ทองสุวรรณ)
นอกจากนี้ผมก็เข้าใจดีว่ามีคนที่ผิดหวังกับอนาคตใหม่/ก้าวไกลที่ไม่ยอมลงพื้นที่ “ไปงานศพ” ถามไถ่ทุกข์สุขของชาวบ้านว่าน้ำไหลไฟสว่างหรือไม่ (แน่นอนว่าเรื่องเช่นนั้นเป็นการเมืองแบบเก่า ซ้ำยังไม่สอดคล้องตามเจตนารมณ์การแบ่งลำดับการปกครองอีกด้วย เพราะหน้าที่ของส.ส.ก็คือการมองภาพรวมและออกกฎหมายในระดับประเทศ … แต่ก็นั่นแหละ อย่าลืมว่าส.ส.แบ่งเขตนั้นมีสัดส่วนถึง 400 ที่นั่ง ในขณะที่ปาร์ตี้ลิสต์มีเพียงแค่ 100 ที่นั่งเท่านั้น)
ทางหนึ่งก็เข้าใจได้ว่า ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา พรรคอนาคตใหม่ในเวลานั้นไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะได้รับคะแนนเสียงท่วมท้นเกินคาดเช่นนี้ หากแต่หวังแย่งชิงเก้าอี้มาได้ซักหลักสิบต้นๆ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีแล้ว
แต่ก็อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่าการเลือกตั้ง 62 นั้นมีความแปลกประหลาดอยู่หลายด้าน ซึ่งก็เริ่มมาจากกติกาอันบิดเบี้ยวที่เอื้อต่อพรรคการเมืองที่มาจากการรัฐประหาร ตามมาด้วยการแก้เกมจากพรรครัฐบาลเก่าด้วยการแตกพรรคใหญ่ออกเป็นสองพรรคย่อย แต่ก็มิวายโดนแก้เกมกลับด้วยการยุบพรรคย่อยทิ้งไป รวมถึงการว่างเว้นจากการเลือกตั้งไปนานจนทำให้กะประมาณพลังของคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งมีสิทธิ์โหวตครั้งแรกได้ยากยิ่ง
หลากหลายเหตุผลเหล่านี้ ส่งให้พรรคอนาคตใหม่ได้รับที่นั่งเป็นอันดับสาม ด้วยจำนวนเก้าอี้ 81 ที่นั่ง “ส้มหล่น” เหนือความคาดหมายนั่นเอง
แต่ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ถ้าเราจะไม่ทำตัวไร้เดียงสาทางการเมืองจนเกินไป เราก็คงจะวิเคราะห์กันได้ว่าก้าวไกลนั้นมีโอกาสที่จะได้เก้าอี้ลดลง เนื่องจากเพื่อไทยส่งผู้สมัครครบทุกเขตแล้ว ซึ่งจะทำให้คะแนนของเพื่อไทยกับก้าวไกลตัดกันโดยตรง และส่งผลให้ท้ายที่สุดแล้วเพื่อไทยที่ “กินบุญเก่า” มาก็จะได้ที่นั่งในสภามากที่สุดอยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังมีโอกาสที่เพื่อไทยจะไม่จับมือกับก้าวไกลแล้วหันไปจับมือกับกลุ่มอำนาจเก่าอีกด้วย
แต่อัตราส่วนเก้าอี้ 250:100 กับ 200:150 ก็ส่งผลต่อการต่อรองและอนาคตประเทศที่แตกต่างกัน ไม่ว่าสุดท้ายทั้งสองพรรคจะจับมือร่วมรัฐบาลกันหรือไม่
ดังนั้นการที่คุณจีน พุธิตา ชัยอนันต์ ได้ลงสมัครส.ส.เขตสี่เชียงใหม่ จึงถือเป็นเรื่องที่น่าปลื้มปิติยินดีแด่ผมเป็นอย่างยิ่ง และทำให้ผมตัดสินใจได้ทันทีในการเลือกตั้งครั้งนี้
ประการแรกคือผมเชื่อว่าคุณจีนนั้นตอบโจทย์เรื่องอุดมการณ์พรรค ไม่มีทางเป็นงูเห่าแบบรุ่นที่ผ่านมา ดังจะเห็นได้จากการยึดมั่นต่อต้านรัฐประหาร ซึ่งคุณจีนคือหนึ่งในนักศึกษาที่ถูกตำรวจจับกุมตัว เพียงเพราะว่าเธอออกมายืนประท้วงในวันครบรอบหนึ่งปีรัฐประหาร ณ วันที่ 22 พ.ค. 2558
(แน่นอนว่าผมคงไม่สามารถฟันธงได้ 100% เช่นเมื่อครั้งที่นักศึกษาเดือนตุลาหนีตายเข้าป่า พอกลับออกมาบางคนก็ย้ายข้างไปทำงานกับฝั่งอำนาจนิยมเสียอย่างนั้น เช่น เอนก เหล่าธรรมทัศน์)
ประการที่สองคือพรรคก้าวไกลยังตอบโจทย์เชิงนโยบายหลายอย่าง ตั้งแต่
- การแก้ไขมาตรา 112: เพื่อหยุดการใช้สถาบันกษัตริย์เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อกลั่นแกล้งคนเห็นต่าง ตั้งแต่การเปิดช่องให้ใครฟ้องใครที่ไหนก็ได้ ไปจนถึงการทุจริตคอรัปชันในแวดวงราชการด้วยการเขียนโครงการที่เกี่ยวข้องกับสถาบันเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ
- ยกเลิกเกณฑ์ทหาร: ประเทศไทยจะติดกับดักประเทศรายได้ปานกลางไปอีกนาน หากเรายังมองประชาชนเป็นไพร่พลแล้วใช้งานอย่างไร้ประสิทธิภาพ เช่นการซักผ้าให้นายพล แทนที่จะปล่อยให้พวกเขาเหล่านั้นได้ออกไปทำงานหมุนระบบเศรษฐกิจด้วยความถนัดของตน
- หวยใบเสร็จ: เป็นสิ่งที่ควรจะลอกไต้หวันมาตั้งนานแล้ว ซึ่งจะส่งผลให้ SME เข้าสู่ระบบภาษีมากขึ้น ทำให้รัฐจัดเก็บและบริหารภาษีได้มากขึ้น และอันที่จริงจะยิ่งกระตุ้นให้ SME มีรายได้มากขึ้นอีกด้วย เพราะประชาชนพร้อมจะออกมาจับจ่ายใช้สอยกับร้านค้าใกล้บ้านที่โปร่งใสแถมยังได้ลุ้นรางวัลไปในตัว
- ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ, อุดหนุนเด็กเล็ก, อุ้มชูผู้สูงวัย: ด้วยอัตราการเกิดที่น้อยลงและอายุขัยที่ยาวขึ้น ทำให้ประเทศไทยกำลังกลายเป็นสังคมสูงอายุในอีกไม่กี่อึดใจ หากเรายังผลักภาระให้หนุ่มสาวที่อยู่ในช่วงสร้างเนื้อสร้างตัว กลับต้องมาห่วงหน้าพะวงหลัง แล้วเราจะสร้างประชากรคุณภาพเพื่ออนาคตได้อย่างไรกัน
แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกนโยบายที่ตรงใจผม หรือแม้กระทั่งบางนโยบายก็สวนทางกับความเห็นของผมเช่นกัน
ถึงกระนั้น ในการเมืองระบบตัวแทน เราคงไม่สามารถได้นโยบายทุกอย่างตามที่หวัง หรือมีลูกพรรคทุกคนที่เราถูกโฉลก (มิเช่นนั้นเราก็คงต้องตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาเอง)
และในบรรดาตัวเลือกทั้งหมดตอนนี้ ก้าวไกลก็ดูจะตอบโจทย์ที่สุดแล้ว เพราะมีทั้งนโยบายที่ตรงเป้า และไม่มีท่าทีว่าจะเสนอนโยบายที่เดินถอยหลังลงคลองแต่อย่างใด
ผมเข้าใจว่าถึงตอนนี้หลายคนน่าจะตัดสินใจได้แล้ว เหลือก็เพียงแค่เดินเข้าคูหาไปกากบาทเลือกพรรคที่ชอบและคนที่ใช่ในสัปดาห์หน้าเท่านั้น (และอันที่จริง ผมเชื่อว่าในสภาวการณ์ที่ใกล้จะกลับมาเป็นปรกติเช่นนี้ ไม่ว่าคุณจะเลือกพรรคไหนด้วยเหตุผลอะไร ก็เป็นการช่วยให้ประเทศได้เดินหน้าต่อไปทั้งสิ้น ขอเพียงแค่ออกไปแสดงพลังใช้สิทธิ์เลือกตั้งกัน)
แต่ถ้าใครยังตัดสินใจไม่ได้ ยังไงมาร่วมส่งแรงเชียร์ให้กับคนรุ่นใหม่ เพื่อพาประเทศไทยไปสู่การเมืองแบบใหม่กันนะครับ
(หรือถ้าใครยังคิดว่านโยบายก้าวไกลไม่เร้าใจพอ อาจลองพิจารณาพรรคสามัญชนเบอร์ 51 ก็ได้ครับ)
Originally published on: Facebook
author