ระบบแจ้งความอันแสนงุนงงของตำรวจไทย
สองเดือนก่อนลืมมือถือไว้บนแท็กซี ส่วนตัวก็ไม่ได้คิดอะไรมากเพราะรู้ว่าตัวเองเป็นคนไม่ค่อยรักษาของอยู่แล้ว (มือถือเครื่องก่อนหน้าจอแตกไปสองรอบในสองปี) เลยพยายามเลือกซื้อตัวที่ราคาไม่สูงเกินไปมาใช้ เผื่อใจตอนนั้นเลยว่าถ้ามันพัง/หายจะได้ไม่เสียดายมาก
ณ วินาทีที่มันหายนี่ไม่ได้รู้สึกเสียดายเลยนะ คิดแค่ว่าแล้วเครื่องถัดไปจะซื้ออะไรดี สงสัยจะต้องลดระดับลงไปใช้มือถือปุ่มกดแบบฮีโร่หรือว่าอาม่าไปพลางๆ หรือเปล่า เพราะตอนนั้นเป็นช่วงไม่มีตังค์พอดีเลย 555
แต่เพื่อนๆ ก็แสดงความกังวลว่า ถ้าแท็กซีคันนั้นประสงค์ร้ายกับเราหละ (หรืออาจจะไม่ได้เจาะจงว่าเป็นเรา แต่เมื่อมีมือถือคนอื่นแล้วอาจจะเล่นอะไรห่ามๆ ก็เป็นได้) ยังไงซะไปแจ้งความตำรวจเพื่อให้มีหลักฐานติดตัวไว้ก่อนน่าจะไม่มีอะไรเสียหาย
โอเค งั้นก็ตามนั้น
เนื่องจากเป็นตอนเย็นอาจารย์กำลังกลับบ้าน แกบอกว่าจำได้คุ้นๆ เหมือนจะมีสถานีตำรวจระหว่างทางนะ เราขอติดรถไปด้วยและพบว่ามันคือ “สถานีตำรวจนครบาลวิภาวดี”
ปรากฏว่าตรงนั้นเป็นแค่สถานีตำรวจจราจร ตำรวจเค้าไม่รับแจ้งความของหาย พร้อมทั้งแนะนำว่าให้เรียกวินมอไซค์หน้าปากซอยไปยัง “สถานีตํารวจพหลโยธิน” ที่อยู่ถัดไปหนึ่งกิโลแทน
เสียค่าวินไป 40 บาท แถมยังต้องเดินผ่านลานจอดรถอันกว้างใหญ่กว่าสองร้อยเมตรกว่าจะถึงอาคาร แต่พอเริ่มเล่าเรื่องจนคุณตำรวจทราบว่าทำมือถือหายที่ไหน ก็ไล่เราออกไปโดยบอกว่าสน.นี้อยู่นอกพื้นที่ที่เกิดเหตุ จะรับเรื่องแจ้งความไม่ได้
เสียค่ารถเมล์ 9 บาทและค่าวินอีก 20 บาท ก็มาถึง “สถานีตํารวจบางเขน” คราวนี้มั่นใจว่ามาถูกที่แล้ว แต่คุณตำรวจก็ด่ากลับมาว่าจำเลขทะเบียนแท็กซีก็ไม่ได้ แล้วจะแจ้งความได้ยังไง
สุดท้ายเลยได้แค่บันทึกลายมือตำรวจ เพื่อแจ้งค่ายมือถือว่าจะขอออกซิมใหม่เบอร์เดิมมา … (ซึ่งสุดท้ายก็ไม่ได้ใช้อยู่ดี ใช้แค่บัตรประชาชนพอ)
หมดเวลากว่าสามชั่วโมงกับการวิ่งวุ่นไปทั่ว เพื่อที่สุดท้ายจะได้อะไรกลับมาก็ไม่รู้
อึม ตำรวจไทยนี่เป็นมิตรกับประชาชนจังเลยเนอะ
author