เชื่อรุ่นพี่
ตอนเข้ามหาวิทยาลัยในระดับป.ตรีปีแรก ผมเคยอยากเรียนวิชานอกเยอะแยะไปหมด ดูตามระเบียบแล้วก็โอเคไม่น่ามีปัญหา ให้หน่วยกิตมาเยอะแยะยังไงก็ใช้ไม่หมด
เอาไปปรึกษารุ่นพี่ปี 2 ที่ก็ดูเป็นเด็กเรียน เค้ารีบบอกทันทีโดยไม่มีความลังเลเลยว่า “อย่าลง” แค่วิชาตอนปี 1 ที่เราเรียนมันก็เยอะแล้ว อย่าหาเหาใส่หัว เรียนวิชาอื่นให้หนักกะบาล
เราก็เชื่อตามเค้า กลัวว่าจะเรียนวิชาหลักๆ ไม่ไหว … แต่ชิมลางผ่านไปสองสัปดาห์ก็รู้สึกว่าตัวเองว่างมากกกกก ว่างจนสุดท้ายก็แอบเข้าไป sit-in เรียนวิชานอกที่หมายตาไว้อยู่ดี
ซึ่งเจ้าวิชานอกนั้นเนี่ย มันเป็นวิชาของคณะมนุษย์ (สาวสวยเต็มเลย 55) อาจารย์ชอบถามคำถามในห้องฝึกให้ผู้เรียนมีความกล้ามีปฏิสัมพันธ์ ตอนแรกๆ เราก็แอบหลบไม่ยอมตอบ (กลัวโดนจับได้ว่าไม่ได้ลงทะเบียน) แต่ยิ่งเรียนยิ่งสนุก แถมพอมีงานกลุ่มในห้องเราก็ต้องเนียนจับกลุ่มทำงาน จะไม่ทิ้งชื่อเราไว้ในรายงานกลุ่มก็คงเป็นไปไม่ได้ … แต่ก็คิดว่าคงไม่เป็นไรแหละมั้ง เพราะพองานกลุ่มเสร็จ อาจารย์ก็ให้แต่ละกลุ่มออกไปอธิบายหน้าห้อง เราก็คิดว่าอาจารย์คงไม่ดูงานซ้ำ
รู้ตัวอีกทีคือวันสอบไฟนอล อาจารย์ให้เพื่อนๆ โทรตามเราไปสอบ
ตอนนั้นก็คิดว่าตลกดี อาจารย์โทรมาตามโดยที่ไม่ดูเลยว่าชื่อของเราไม่ได้ลงทะเบียนเรียน
แต่กลับมามองย้อนดูตอนนี้ก็น่าโมโหตัวเองไม่น้อย ไปหลงเชื่อรุ่นพี่ที่อายุมากกว่าแค่ปีสองปี แถมไม่ได้สนิทสนมขนาดรู้ว่าเราเป็นคนยังไง ลงเรียนเยอะกว่าที่เค้าทำมาจะรอดมั้ย
จริงอยู่ว่าเราเข้าไปเรียนเพื่อแสวงหาความรู้เข้าตัว เรื่องสอบเพื่อแสดงให้คนอื่นเห็นว่าเรารู้อะไรไม่ได้สำคัญเท่า
โดยที่ลืมไปว่า ถึงจะตัดสินใจพลาดไปก็ไม่ได้เป็นจุดจบของโลก แค่ได้ตัวอักษร W มาประดับบน transcript เท่านั้นเอง
author