Avenue Q
และนี่คือละครเพลงที่ทำให้ Wicked ชวดรางวัลใหญ่จาก Tony ในปี 2004 … ซึ่งก็นับว่าสมน้ำสมเนื้อแล้วเพราะมันสนุกสุดเหวี่ยง! (จนไม่อยากจะยอมรับเลยว่า พอเทียบกันแล้ว แม่มดเขียวแห่ง Oz กลายเป็นงานเด็กเล่นไปเลย 😜)
Avenue Q ไม่ได้เล่าเรื่องผ่านตัวละครหลัก (พระเอก/นางเอก) เพียงหนึ่งถึงสองตัว หรือมีพล็อตหลักที่ต้องออกไปทำภารกิจพิชิตอะไรซักอย่างดังเช่นละครทั่วไป แต่นำเสนอในแนว slice of life ผสมกับ sitcom เล่าเรื่องสัพเพเหระในชีวิตประจำวันของชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในอเวนิวคิว … เทียบกับไทยก็คงประมาณบางรักซอย 9 แบบที่ไม่หายใจเข้าออกเป็นเรื่องโรแมนติกไปหมดหละมั้ง
ซึ่งจุดอ่อนเดียวของเรื่องนี้ ก็น่าจะมาจากตัวละครที่รุ่มรวยเสน่ห์จำนวนมาก แต่เรากลับมีเวลาทำความรู้จักกับพวกเขาสั้นๆ เพียงสองชั่วโมงเนี่ยแหละ – ตั้งแต่บัณฑิตหนุ่มผู้ยังหลงทางในชีวิต สาวข้างห้องที่หวังอยากเห็นโลกสงบสุข นายธนาคารเกย์ผู้กลัวการคัมเอาท์ พร้อมเพื่อนร่วมห้องที่สนับสนุนให้เปิดตัว นักจิตวิทยาสาวสู้ชีวิตที่อพยพมาจากเอเชีย พร้อมแฟนหนุ่มว่างงานผู้เฝ้าฝันอยากเป็นดาราตลกชื่อดัง ผู้ดูแลอพาร์ทเม้นท์ที่ชีวิตผกผันตกอับ นักร้องสาวนักล่าแต้มผู้กลัวการผูกมัด และมนุษย์ลุงผู้หมกมุ่นกับหนังโป๊ – นี่คือตัวละครสำคัญที่ขาดตกบกพร่องไปไม่ได้แม้แต่ตัวเดียว! (ซึ่งอันที่จริงจุดอ่อนตรงนี้ อาจกลับกลายมาเป็นจุดแข็งที่ทำให้เรากลับไปเสพละครเรื่องนี้ซ้ำๆ ได้โดยไม่เบื่อ)
และถ้าถามว่าการเล่นเรื่องอะไรที่ไม่แฟนตาซี (แฟนตาซีสุดก็แค่การใช้ตัวละครส่วนใหญ่เป็นหุ่นมือนี่แหละ) จะทำให้ละครเรื่องนี้น่าเบื่อมั้ย ก็ตอบได้เต็มปากตรงนี้เลยว่าไม่! ตรงกันข้ามด้วยซ้ำที่เรากลับอินกับเนื้อเรื่องได้อย่างรวดเร็ว เพราะมันคงไม่ยากที่เราจะมีประสบการณ์ร่วมกับเหตุการณ์ต่างๆ ในละคร ทั้งเรียนจบ หางาน ทำงาน ตกงาน ตกหลุมรัก แยกทาง ไปจนกระทั่งการตามหาเป้าหมายของชีวิต
แม้จะดูไร้ซึ่งแกนเรื่องที่ชัดเจน แต่ละครเรื่องนี้ก็ไม่ได้ไร้แก่นสารแต่อย่างใด กลับกันเลยด้วยซ้ำที่มันจัดเต็มวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นใหญ่ๆ อย่างเช่นสีผิว อินเตอร์เน็ต การกลั่นแกล้ง และความไม่เท่าเทียม แทรกลงไปในเนื้อหาเหล่านั้นได้อย่างเนียบเนียนแยบยล
สำคัญมากๆ คือเพลงที่ติดหูทุกเพลง! บางเพลงก็เด่นและมีความอิสระจากละครมากๆ อย่างเช่น There’s a Fine, Fine Line นี่เก็บไปเปิดเป็นเพลงเดี่ยวๆ หรือเอาไปจัดเพลย์ลิสต์รวมกับเพลงป๊อปอื่นๆ ฟังระหว่างวันได้เลยนะ!
แต่หมัดเด็ดสุดคงหนีไม่พ้นการที่ละครเรื่องนี้หลอกให้เราหัวเราะร่วมกับมันไปเป็นชั่วโมงๆ เพื่อมาตบท้ายด้วยการย้ำเตือนว่า จะสุขทุกข์เหงาเศร้ายังไง สุดท้ายชีวิตมันก็แค่นี้ … ทำเอาน้ำตาซึมเบาๆ กับความรู้สึกปนกันระหว่างปล่อยวางและว่างเปล่าไปเลยทีเดียว 😂
author