Ender's Game
ซีรีย์ Ender’s Game เล่าเรื่องโลกอันแสนตึงเครียดภายใต้สงครามระหว่างดวงดาวกับสายพันธุ์อื่น ผ่านตัวละครหลัก Andrew “Ender” Wiggin เด็กอัจฉริยะที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำกองกำลังโลกให้ได้รับชัยชนะในสงครามล้างเผ่าพันธ์ครั้งนี้
ฟังดูเหมือนจะเป็นชีวิตที่สมบูรณ์แบบ แต่เมื่อมองให้ลึกในรายละเอียดลงไปแล้ว อาจพบว่าไม่ได้เป็นภาพที่สวยงามอย่างที่คิด
เช่นการเติบโตในครอบครัวอันแสนแปลกประหลาด เป็นลูกคนที่สามทั้งที่ทั่วโลกออกมาตรการจำกัดจำนวนประชากร แม้จะได้รับการรับรอง (หรือถึงขั้นร้องขอ) ในสถานะพิเศษนี้จากรัฐ แต่เขาก็ยังโดนมองเป็นตัวประหลาดและถูกกลั่นแกล้งในโรงเรียนอยู่เป็นประจำ จนกระทั่งระเบิดออกมาด้วยการพรากชีวิตของผู้ที่กระทำกดขี่เขา … ถึงสองครั้ง
และคงปฎิเสธไม่ได้ว่าบุคคลที่มีผลกระทบต่อชีวิตเขาเป็นอย่างมาก คือ Peter และ Valentine พี่ทั้งสองคนที่เป็นเหมือนหยินและหยางในตัว Ender เปรียบได้ดังส่วนประกอบที่ลงตัวและพอดีที่ทำให้เขายังมีชีวิตรอดต่อไปในจักรวาลอันแสนโหดร้ายนี้ได้
Peter และ Valentine ขณะกำลังชี้นำสังคมผ่านอินเตอร์เน็ต ด้วยนามแฝง Locke และ Demosthenes
ด้านพี่คนโต Peter นั้นนับว่าเป็นคนมุ่งมั่น จนบางครั้งก็ถึงขั้นยอมทำทุกอย่างเพื่อไปให้ถึงจุดหมาย เรียกว่าเข้าขั้นจอมบงการและเลือดเย็น อันที่จริงก็ดูจะเป็นสมบัติที่ไปด้วยกันได้ดีกับการเป็นผู้นำกองทัพ เพียงแต่ด้วยความสุดโต่งของเขาทำให้เหล่าผู้บัญชาการกังวลถึงการลุต่ออำนาจภายหลังเสร็จสิ้นสงครามกับเหล่าแมลงอวกาศ แล้วหันมาเป็นปฏิปักษ์ต่อมวลมนุษยชาติเสียเอง
ส่วน Valentine (ผู้ซึ่งถูกขอให้เกิดมาเช่นกัน เพราะรัฐเห็นศักยภาพในตัวผู้พี่) ผู้เป็นดังแม่พระแสนอ่อนโยนมีเมตตาและเปี่ยมไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ ก็กลายเป็นสุดโต่งเกินไปในอีกด้านของสเปกตรัมจนกลายเป็นความอ่อนแอเปราะบาง แม้คนที่อยู่ใกล้จะได้รับความสบายใจกลับไป แต่ก็ไม่สามารถขึ้นเป็นผู้นำที่สามารถคุมฝูงชนจำนวนมากได้
และด้วยเหตุนี้ Ender จึงเปรียบเสมือนเหมือนจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายที่เข้ามาเติมเต็มแก้ไขปริศนาให้สมบูรณ์
ถ้าการปล่อยตัวปล่อยใจให้เข้าไปแหวกว่ายในโลกแฟนตาซี ถือเป็นการส่องกระจกมองหาตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง ก็คงบอกว่าเราไม่มีวันเป็น Ender หรือ Valentine เพราะเราไม่ได้มีความเห็นอกเห็นใจ– หรือสามารถเห็นอกเห็นใจ –ในตัวผู้อื่นได้มากขนาดนั้น
ต่างจากเรื่องราวของ Peter ที่แม้จะไม่ได้ถูกบอกเล่าในนิยายอย่างมากมายซักเท่าไหร่ แต่เรากลับมีความรู้สึกร่วมกับตัวละครนี้อย่างแรงกล้ากว่ามากๆ ตั้งแต่ความสามารถในการทำนายอนาคตผ่านการวิเคราะห์ข้อมูล การวางแผนระยะยาวอย่างแยบยลพร้อมความอดทนรอคอยวันเก็บเกี่ยวดอกผล ไปจนถึงความสามารถในการโน้มน้าวชักจูงจิดใจผู้คนดังตัวหมากบนกระดาน
ซึ่งก็น่าบังเอิญเสียเหลือเกิน เมื่อครั้งที่เราอยู่ในวัยมัธยมต้น (ก่อนที่จะรู้จักซีรีย์นี้ด้วยซ้ำ) ครูอังกฤษจากต่างประเทศก็เคยให้ออกแบบว่าถ้าตนเองกลายเป็น superhero จะมีพลังพิเศษจะเป็นอะไร? แม้ตัวเลือกด้านพละกำลังจะดูน่าสนใจ แต่เราก็ไม่ไว้ใจว่าจะถูกใครหลอกใช้หรือเปล่า สุดท้ายจึงเขียนให้ตนเองมีความสามารถทางการทูฑ (และเทเลพอร์ท) เพื่อจะได้เจรจาโน้มน้าวใจคนให้มาเป็นพวกแทนเสียเอง
ยิ่งดูแล้วยิ่งรู้สึกว่าหนทางในอนาคตของเรานั้น แม้ว่าเราจะพยายามปฏิเสธมันแค่ไหน แต่เมื่อคิดด้วยเหตุผลแล้วก็ไม่มีวันหนีพ้นชีวิตอันแสนซับซ้อนแบบ Peter Wiggin ไปได้เลย
และนั่นก็เป็นสิ่งที่เรากลัวอย่างจับใจ เพราะความสามารถเหล่านี้เป็นดังดาบสองคม ที่เสี่ยงว่าเราเองจะเผลอนำมันไปใช้ในทางที่ผิดได้ซะง่ายๆ
… หรืออาจไม่ต้องพูดถึงความเสี่ยงที่จะใช้ความสามารถเหล่านี้ในทางที่ผิดก็ได้ แม้เราจะพยายามใช้มันในทางที่ถูกต้องแค่ไหน แต่ก็ยังสามารถโดนมองด้วยสายตาที่โกรธเคืองหรือด้วยสายตาที่หวาดกลัว ว่าเรากำลังใช้มันในทางที่ผิดได้เช่นกัน
สุดท้ายกลายเป็นปีศาจร้ายที่ไม่มีใครเข้าใจ มองว่าสิ่งที่เราทำนั้นผิดอย่างไม่สามารถให้อภัยได้ โดยไม่แม้แต่จะสนใจในเจตนาหรือเหตุผลที่แท้จริงเลย
คงได้แต่หวังว่าซักว่าจะมีวาทกะแด่ผู้ล่วงลับ ผู้ที่จะมาบอกเล่าเรื่องราวของเราอย่างตรงไปตรงมา ในวันที่เราจากโลกนี้ไปเสียแล้วมั้ง?
author