วงแหวนเว็บ

neizod's speculation

insufficient data for meaningful answer

The Super Mario Bros. Movie (2023)

Friday, April 14, 2023, 07:56 AM

โฆษณาแฟรนไชส์เกมความยาวหนึ่งชั่วโมงครึ่งแถมยังต้องเสียตังค์ตีตั๋วเข้าไปดู … ซึ่งก็นับว่าทำออกมาได้สนุกเหมือนกำลังนั่งจับจอยเกมเล่นเองจริงๆ

หนังสร้างจากวิดีโอเกมชื่อดังที่ไม่น่ามีใครไม่รู้จัก Super Mario Bros. กับลุงหนวดช่างประปาที่น่าจะนับได้ว่าเป็นทูตวัฒนธรรมของวงการเกมไปแล้ว (เฉกเช่นที่อดีตนายกญี่ปุ่นเคยสวมบทบาทตัวละครดังกล่าวในปี 2016 เพื่อเปิดตัวกีฬาโอลิมปิกครั้งถัดไป1) ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจที่เกมดังกล่าวจะครองใจผู้คนจำนวนมากได้ในทุกวันนี้ เพราะที่จริงแล้วเกมดังกล่าวไม่ใช่แค่เกมเกมเดียว แต่เป็นซีรีส์ของเกมที่พัฒนาขึ้นมาเรื่องๆ ตามเทคโนโลยีที่ไม่หยุดนิ่ง ตั้งแต่เกมภาคแรกที่ออกมาตั้งแต่ปี 1985 และภาคต่อๆ มานับรวมจนถึงปัจจุบันได้เกือบยี่สิบภาค

ซึ่งอันที่จริง Mario ก็ไม่ได้ปรากฏตัวครั้งแรกในเกมของตัวเองเสียด้วย แต่ไปเป็นแขกรับเชิญให้กับ Donkey Kong ตั้งแต่ปี 1981 กับภารกิจปีนตึกขึ้นไปช่วยแฟน(เก่า)อย่าง Pauline จากการถูกลักพาตัว ดังนั้นหากต้องการพูดถึง Mario อย่างละเอียดครบถ้วน ก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องนึกถึงคู่ปรับ/เพื่อนซี้ในเกมคู่ขนานอย่าง Donkey Kong ไปโดยปริยาย

และก็ดูเหมือนว่า Nintendo จะเข้าใจ “จุดแข็ง” ตรงนี้ดี ว่าเราจะออกแบบเกมที่นำเสนอวิธีการเล่นใหม่ๆ พร้อมกับการสร้างตัวละครอีกชุดให้กับเกมเหล่านั้นทำไม ในเมื่อเราสามารถนำเอาตัวละครที่ทุกคนรู้จักกันดีอยู่แล้วกลับมาใช้ซ้ำได้ เพราะปรัชญาสำคัญในการออกแบบเกม Nintendo ก็คือรูปแบบวิธีการเล่นใหม่ๆ ที่มอบประสบการณ์อันน่าสนใจ2 หาใช่การมีตัวละครอันมากมายที่นอกจากผู้เล่นอาจไม่สามารถจดจำได้หมดแล้ว ยังไม่ใช่ประเด็นหลักของเกมอยู่ดี เพราะตัวละครเหล่านั้นก็เปรียบดั่งแค่เสื้อผ้าให้ผู้เล่นได้สวมใส่ตัวเองเข้าไปแค่นั้น3

เราเลยมีซีรีส์เกมข้างเคียงจากค่าย Nintendo ที่ใช้ Mario และเหล่าผองเพื่อนเป็นตัวละครหลักมากมายเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นเกมแนวต่อสู้ Super Smash Bros. บอร์ดเกม Mario Party เกมพัซเซิล Dr. Mario หรือบรรดาเกมกีฬาอย่าง Tennis, Golf, Pinball ฯลฯ

แต่ spin-off ที่โด่งดังที่สุดคงหนีไม่พ้น Mario Kart เกมแข่งรถโกคาร์ทที่เปิดตัวภาคแรกในปี 1992 และพัฒนาควบคู่กันมาจนปัจจุบันซีรีส์คู่ขนานนี้ก็ได้เดินทางมาถึงภาคแปดแล้ว

ดังนั้น Mario, Donkey Kong และ Kart จึงเป็นสารตั้งต้นสำคัญที่กำหนดทิศทางและความสนุกของหนังเรื่องดังกล่าว

ซึ่งเอาจริงๆ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หนังเกี่ยวกับ Mario ได้ถูกสร้าง อย่างในปี 1993 ก็เคยมีหนังภาคคนแสดงมาแล้ว … และแม้จะไม่เคยดู/ไม่คิดจะหามาดู แต่ก็คงจะเดากันได้ไม่ยากว่าหนังภาคดังกล่าวนั้นถือเป็นตราบาปบนประวัติศาสตร์ของ Mario ก็ว่าได้4

โอกาสแก้ตัวครั้งนี้ จึงหนีไม่พ้นโจทย์ใหญ่ที่ว่า จะทำอย่างไรให้หนังออกมาสนุกครองใจผู้ชม?

โชคดีที่คำถามดังกล่าวนั้นแตกย่อยออกมาเป็นคำถามที่ง่ายลงได้ว่า ใครคือผู้ที่จะตีตั๋วเข้ามาชมหนังบ้าง? แน่นอนว่าแม้หนังจะวางตัวให้เหมาะกับผู้ชมทั่วไปทุกเพศทุกวัยดูได้ แต่การไม่ลืมรากเหง้าว่าผู้ชมส่วนใหญ่ก็คือเหล่าเกมเมอร์ (ที่ตอนนี้อายุอานามก็ไม่น้อยแล้ว) นั้นเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง

ซึ่งก็จะนำไปสู่คำถามถัดไปว่า ผู้ชมเหล่านั้นต้องการอะไรจากหนังหละ?

แน่นอนว่าไม่มีใครสนใจความ “สมจริง” ในหนังที่สร้างจากเกมอยู่แล้ว เช่นถ้าให้คนจริงๆ วิ่งชนกำแพงก็คงหัวแตกนอนสลบโดนหามโรงพยาบาล แต่กับตัวละครในเกมแล้ว การวิ่งชนกำแพงแล้วกำแพงแตกสลายแถมยังวิ่งต่อไปได้เรื่อยๆ นั้นไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด

หรือจริงๆ อาจเรียกได้ว่า เงื่อนไขดังกล่าวนั้นสมจริงภายใต้ระบบตรรกะของตนเอง อย่างเช่นการที่ Mario ต้องกินเห็ดเพิ่มพลังก่อนถึงจะสามารถชกกำแพงให้พังทลายได้

แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ความสมจริงภายใต้มิติที่ว่าโลกของเกมมีกฏเกณฑ์แตกต่างออกไปจากโลกที่เราอาศัยอยู่ก็เท่านั้น

อีกมิติสำคัญที่หลงลืมไม่ได้ ก็คือวิดีโอเกมนั้นไม่ใช้การสื่อสารแค่ทางเดียว (เช่นการดูหนังหรืออ่านนิยาย) แต่เป็นการสื่อสารที่ต้องโต้ตอบสองทางอย่างฉับพลันระหว่างเกมกับผู้เล่น ทุกการกระทำของผู้เล่นนั้นส่งผลต่อเกมเสมอ เช่น ถ้าผู้เล่นพลาดพลั้งทำเห็ดหลุดหายไปก็จะไร้ซึ่งพลังในการต่อยกำแพง หรือถ้าผู้เล่นจดจำไม่ได้ว่าเห็ดสีไหนให้พลังแบบใด ก็อาจเผลอกินเห็ดที่นอกจากจะไม่ให้พลังความแข็งแรงแล้ว ยังย่อขนาดของผู้เล่นจนเล็กจิ๋วแทนเสียอย่างนั้น

พูดอีกอย่างก็คือ เรามีโลกตรงกลางที่คั่นระหว่างโลกของผู้เล่นกับโลกของเกมอยู่ โลกแห่งปฏิสัมพันธ์อันเปรียบเสมือนท่อน้ำที่เชื่อมโลกความจริงกับโลกเกมเข้าด้วยกันนั่นเอง

ซึ่งหนังก็สามารถถ่ายทอดความสมจริงของโลกแห่งปฏิสัมพันธ์นี้ออกมาได้อย่างทรงพลัง กับฉากฝึกตนของ Mario เมื่อเจ้าหญิง Peach ต้องการทดสอบว่าเขาคู่ควรกับการผจญภัยหรือไม่ … แน่นอนว่าฉากดังกล่าวไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่อะไร หนังเรื่องอื่นก็มีฉากแนวนี้เพื่อแสดงถึงพัฒนาการของตัวละครเช่นกัน เช่น Karate Kid (1984), Mulan (1998), Whiplash (2014)

อันที่จริงแล้ว ฉากฝึกตนในหนังที่ต่างกันก็ให้ความรู้สึกที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง เช่น Karate Kid ก็ให้ความรู้สึกยอมรับนับถือกับสิ่งเล็กๆน้อยๆ ในชีวิตประจำวัน ว่าเรื่องเหล่านั้นเกี่ยวพันส่งเสริมแด่การฝึกตนในเป้าหมายใหญ่ทั้งสิ้น (sand the floor, wax on, wax off, paint the fence) หรือ Mulan ที่แสดงให้เห็นว่าพละกำลังเพียงอย่างเดียวนั้นไม่พอ แต่ยังต้องอาศัยมันสมองเพื่อคอยเปลี่ยนอุปสรรค์ที่ขัดขวางให้กลับกลายเป็นมิตรแท้และมอบความได้เปรียบอีกด้วย ส่วน Whiplash นั้นให้ความรู้สึกสิ้นหวังกับการเข้าไม่ถึงความสมบูรณ์แบบเสียที แม้ว่าปัจจุบันจะเก่งกาจจนไม่มีใครเทียบเคียงได้แล้วก็ตาม แต่แทนที่จะอิ่มตัวกับจุดสูงสุดตรงนั้น กลับเลือกที่จะขัดเกลาตนเองต่ออย่างไม่หยุดหย่อนเพื่อให้ไปถึงจุดที่ยังไม่เคยมีใครเคยไปได้ถึง

แน่นอนว่าฉากฝึกฝนใน Super Mario Bros. Movie5 ก็ก่อให้เกิดความรู้สึกที่แตกต่างอย่างเฉพาะตัว ซึ่งหนังก็ชาญฉลาดมากที่ฉกฉวยความเป็นวิดีโอเกมที่แทบทุกคนต้องเคยเล่นมาใช้ จึงดึงความรู้สึกร่วมกับผู้ชม/ผู้เล่นได้เป็นอย่างดี ตั้งแต่การพลาดท่าให้กับดอกปิรันย่า การกะจังหวะผิดจนโดนแท่งไฟปัดตกฉาก หรือแม้กระทั่งพื้นลื่นจนหลุดขอบตกเหวไปเอง แต่ยังดีที่บางทีก็บังเอิญค้นพบทางลัดที่ปลอดภัยไร้ซึ่งสิ่งกีดขวาง ทั้งหมดนี้ทำให้ผู้เล่นตระหนักได้ว่าเราทุกคนนั้นก็ไม่ได้เก่งกาจมาตั้งแต่ต้น แต่เกิดจากการฝึกฝน “เล่นเกม” ไปเรื่อยๆ และพัฒนาปฏิกิริยาตอบสนองต่อเกมได้อย่างเด็ดขาดเฉียบคมจนไปถึงเส้นชัยได้ในที่สุด

เรียกได้ว่าผู้เล่นไม่ได้แค่นั่งเฉยๆ แล้วรอให้สถานการณ์คลี่คลายไปเอง แต่ต้องออกแรงเพื่อพิสูจน์ว่าตนเองคู่ควรกับฉากจบนั้นๆ6

เพียงแค่ฉากฝึกฝนฉากเดียวก็แสดงสัมพันธ์ระหว่างผู้เล่นกับวิดีโอเกมได้อย่างครบถ้วนแล้ว แต่หนังก็ยังสร้างความประหลาดใจ/ประทับใจในฉากต่อมาอีกครั้ง โดยมันอาจเป็นฉากสั้นๆ ที่คนที่ไม่ได้เล่นเกมไม่รู้สึกสลักสำคัญอะไร แต่กับเหล่า speedrunner กลุ่มผู้เล่นเกมที่ตั้งเป้าทุบสถิติความเร็วแล้ว ฉากที่ว่าก็น่าจะทำให้พวกเขาปลาบปลื้มภูมิใจอยู่ไม่น้อย78

ซึ่งฉากนั้นคือฉากขับรถต่อสู้กันบนถนนสายรุ้ง เมื่อ Mario เหลือบไปมองเห็นถนนอีกเส้นหนึ่งอยู่ข้างล่าง จึงตัดสินใจขับรถ “กระโดด” ลงไปยังถนนเส้นนั้นเพื่อล่อให้ลูกสมุนของ Bowser แยกทางกันนั่นเอง

แน่นอนว่าเมื่อมองผ่านสายตาคนดูหนังแล้ว นั่นเป็นการกระทำที่ปรกติธรรมดาสมเหตุสมผล เพราะยังไงเสีย ในโลกของหนัง อะไรก็เกิดขึ้นได้อยู่แล้ว (ยิ่งเมื่อพิจารณาควบคู่กับฉากก่อนหน้าที่ปูพื้นความเป็นไปได้นี้โดยการขับรถกระโดดข้ามเหวอีกด้วย)

แต่กับผู้ที่เคยเล่นเกม Mario Kart มาก่อน การกระทำดังกล่าวนั้นบ้าระห่ำสิ้นดี!

ท้าวความก่อนว่าด่านถนนสายรุ้ง (Rainbow Road) นั้น น่าจะนับได้ว่าเป็นด่านที่ยากที่สุดตั้งแต่การเปิดตัว Mario Kart ภาคแรกในปี 1992 เลยทีเดียว ด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่าถนนในด่านดังกล่าวนั้นไม่มีขอบกั้นกันรถตกขอบ!

อย่างไรก็ตาม เกมภาคแรกนั้นก็ยังเป็นเพียงแค่เกม 2D กล่าวคือแม้เกมจะพยายามแสดงผลให้ผู้เล่นรู้สึกว่ากำลังอยู่ในโลกที่มีความกว้างยาวลึก แต่การประมวลผลเบื้องหลังนั้นก็ยังเป็นเพียงพิกัดแบบสองมิติอยู่ดี ด่านต่างๆ ในเกมนี้จึงไม่ได้มีอะไรหวือหวา ดังจะเห็นได้จากถนนทุกด่านนั้นราบเรียบมีความสูงเดียวกันหมด

แต่เพียงแค่ Mario Kart 64 ซึ่งเป็นภาคที่สองที่ออกในปี 1996 ก็ได้แปลงเกมให้เป็น 3D ได้สำเร็จ และทำให้เรามีถนนที่มีลูกเล่นหลากหลายเหนือจินตนาการ อย่างเช่นถนนที่วนกลับมาซ้อนกันเป็นสะพานนั่นเอง

และอันที่จริง การขับรถ “กระโดด” ข้ามเหวในเกมนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างใด กลับกันเลยว่าหลายด่านนั้นตั้งใจออกแบบถนนที่ขาดช่วงมาให้กระโดดเสียด้วยซ้ำ … เพียงแต่ว่าบรรดาการบังคับกระโดดดังกล่าว จะมีแผ่นเร่งความเร็วติดอยู่ตรงขอบถนนที่ขาดพอดี ซึ่งก็คือรับประกันได้ว่า(เมื่อเล่นเกมตามปรกติ)ผู้เล่นจะสามารถกระโดดถึงอีกฝั่งอย่างแน่นอน

สิ่งที่ทำให้การกระโดดในหนัง/เกมนั้นแตกต่าง ก็คือมันเป็นการกระโดดออกนอกเส้นทางที่วางไว้ต่างหาก ซึ่งก็คือไม่มีตัวช่วยหรือการรับประกันใดๆ ว่าจะกระโดดได้ถึงจุดหมาย และเป็นสิ่งที่ผู้เล่นทั่วไปต่างสะพรึงกลัวและหลีกเลี่ยง

เช่นนั้นแล้วจะมีใครที่ค้นพบเส้นทางลัดเหล่านี้ได้ ถ้าไม่ใช่เหล่า speedrunner ผู้ทุ่มเทกายใจฝึกฝนเล่นเกมซ้ำๆ เป็นพันเป็นหมื่นชั่วโมง เพียงเพื่อจะได้วิ่งเร็วขึ้นจากเดิมบางครั้งก็แค่เศษเสี้ยววินาที

และการค้นพบดังกล่าวก็มอบรางวัลอันยิ่งใหญ่ให้ เพราะมันสามารถหั่นเวลาด่านถนนสายรุ้งในเกมภาคนี้ไปได้เกือบครึ่งเลยทีเดียว!9

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่า Nintendo น่าจะไม่เห็นด้วยกับแนวทางการเล่นดังกล่าวซักเท่าไหร่ เพราะเกมภาคใหม่อย่าง Mario Kart DS (2005) นั้นมากับระบบเช็คพอยท์ที่รัดกุมขึ้น จึงทำให้แม้ผู้เล่นอาจกระโดดข้ามฉากส่วนใหญ่ได้ก็จริง แต่ตัวเกมจะไม่นับระยะทางให้เมื่อผู้เล่น “โกงเกม” เช่นนั้น9

แต่ความสัมพันธ์ระหว่างนักออกแบบและนักเล่นเกมนั้นก็เปรียบได้ดั่งสถานการณ์แมวจับหนู กับเกมภาคถัดไป Mario Kart Wii (2008) ที่ถูกชุมชน speedrunner ค้นพบกลิทช์ Ultra Shortcut ที่ทำให้ผู้เล่นสามารถกระโดดข้ามฉากและหั่นเวลาได้มากยิ่งกว่าครึ่งอีกครั้ง เพียงแต่ว่าครั้งนี้การกระโดดดังกล่าวนั้นยากแทบจะเกินจินตนาการของมนุษย์ เพราะนอกจากวิธีนี้จะถูกค้นพบแปดปีให้หลังเกมวางขายแล้ว มันยังเป็นการค้นพบผ่านบอทช่วยเล่นเกมอีกด้วย9 และเราก็ต้องรออีกถึงห้าปีกว่าจะมีมนุษย์คนแรกที่ฝึกฝนและใช้งานวิธีดังกล่าวได้สำเร็จ10

แน่นอนว่าในเกมล่าสุด Mario Kart 8 (2014) ผู้ออกแบบเกมเลือกที่จะออกแบบด่านที่มีถนนคู่ขนานห่างไกลกันมากๆ จนไม่สามารถกระโดดถึงกันได้ไปเลย

การได้เห็นฉากขับรถกระโดดข้ามไปยังถนนอีกเส้นใน Super Mario Bros. Movie จึงอาจถือเป็นหมุดหมายสำคัญว่า Nintendo นั้นเปิดใจยอมรับในชุมชน speedrunner และมองว่าการเล่นเกมโดยใช้กลิทช์ก็เป็น “ความสนุก” อย่างหนึ่งแล้ว ไม่ได้เป็นเรื่องการโกงเกมแต่อย่างใด (อย่างไรเสีย ในชุมชน speedrunner เองก็มีการแบ่งประเภทการแข่งขันอยู่แล้ว ว่าต้องการไปให้เร็วภายใต้กฎเกณฑ์ที่ผู้ออกแบบตั้งใจ หรือจะไปให้เร็วยิ่งขึ้นโดยปลดล็อกเซฟตี้ต่างๆ เหล่านั้น)

จริงอยู่ที่ว่าผู้สร้างหนังอาจไม่ได้คิดอะไรมากมายหลายตลบเช่นนี้ ฉากดังกล่าวก็อาจถูกใส่เข้ามาเพียงเพราะว่ามันเท่ดีก็ได้ อย่างไรเสียมันก็เป็นแค่ฉากแอคชันทั่วไปที่ใครๆ ก็ใช้ ส่วนเราก็เป็นเพียงแค่เกมเมอร์สมคบคิดคนหนึ่งที่นั่งเทียนเขียนวิเคราะห์จนออกอวกาศไปเอง (ไม่เหมือนกับกรณี The Lego Movie ที่ผู้สร้างหนังแสดงความเคารพชุมชนนักสร้างหนังจากตัวต่อโดยตรง ผ่านการนำเอาหนังสั้นของพวกเขาเหล่านั้นมาประกอบในหนังหลัก11)

แต่เอาตรงๆ เลยนะ รู้สึกดีเป็นบ้าเลยหว่ะที่ผู้สร้างหนังใส่ใจแม้แต่ในรายละเอียดเล็กน้อยจนหนังออกมา “สมจริง” เช่นนี้

เชิงอรรถ:

  1. Olympics, 2016, Japan PM Abe Shinzo steals the show in Rio 

  2. GMTK, 2016, Nintendo - Putting Play First 

  3. GMTK, 2020, Who Gets to be Awesome in Games? 

  4. Gaming Historian, 2016, The Super Mario Bros. Movie 

  5. Illumination, 2023, The Super Mario Bros. Movie | Princess Peach Training Course Clip 

  6. NIKMOE, 2018, Understanding Mario Odyssey’s Multiple Endings 

  7. Slash Film, 2023, The Super Mario Bros. Movie Honors One Of Mario Kart’s Best Shortcuts 

  8. Polygon, 2023, Rainbow Road’s Leap of Faith (and Double Dash!) 

  9. Summoning Salt, 2019, The History of Rainbow Road World Records  2 3

  10. Arthur, 2021, 【MKW Former WR】Rainbow Road (Glitch) - 2:14.677 - Arthur 

  11. Vox, 2017, How fan films shaped The Lego Movie 

Originally published on: Facebook

neizod

author