วงแหวนเว็บ

neizod's speculation

insufficient data for meaningful answer

The Book of Mormon

Saturday, August 4, 2018, 10:56 PM

ละครเพลงชื่อดังที่กวาดรางวัล Tony 2011 ไปกว่าครึ่ง เรื่องนี้จริงๆ อยู่ในลิสต์มาตั้งนานแล้ว (ตั้งแต่ตอนที่ไล่ดู NPH เป็นพิธีกรในงานประกาศรางวัล Tony นั่นแหละ) แต่ก็หาเรื่องบ่ายเบี่ยงมาเรื่อยๆ จนไปเจออัลบัมดังกล่าวบน Spotify เลยหมดข้ออ้างในการดองอีกต่อไป

The Book of Mormon เล่าเรื่องของ 2 มิชชันนารีชาวมอรมอน (มอรมอนมองว่าตนเองเป็นศาสนาคริสต์ที่ถูกฟื้นฟู) ที่ออกเดินทางจากบ้านเกิดเมืองนอนอันแสนสุขสบาย ไปช่วยเหลือผู้คนพร้อมเผยแพร่ศาสนายังดินแดนทุรกันดานอย่างทวีปแอฟริกา ที่ซึ่งทุกอย่างตรงข้ามกับภาพวาดความฝันในจินตนาการ พวกเค้าต้องฝ่าฟันความยากลำบาก ภัยอันตราย หรือแม้กระทั่งวิกฤติความเชื่อ กว่าที่สุดท้ายจะเผยแพร่ศาสนาได้สำเร็จ

ถ้าอ่านเพียงเรื่องย่อข้างต้น (หรือแม้เริ่มฟังเพลงแรกๆ) อาจดูเหมือนว่านี่จะเป็นละครเพลงดราม่าที่มีพร็อพพาแกนดาเพื่อการโปรโมทนิกายมอรมอน (หรือคริสต์ศาสนา) แต่หากได้รับชมรับฟังละครเพลงเรื่องนี้ทั้งหมดแล้ว จะพบว่าเรื่องราวเป็นไปในทิศทางตรงกันข้ามเลย เมื่อหนทางในการช่วยเหลือผู้คนที่นั่น กลับกลายเป็นการบิดเบือนคำสอนดั้งเดิมเพื่อให้เข้ากับวิถีชีวิตผู้คนในแอฟริกา จนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นการสร้างศาสนาใหม่ขึ้นมาเลยทีเดียว (ซึ่งจะว่าไปก็ดูย้อนแย้งดี เพราะคริสเตียนก็ไม่ได้ยอมรับมอรมอน (และก็เช่นเดียวกันกับที่ยิวไม่ได้ยอมรับคริสเตียน))

แม้จะพูดเรื่องราวหนักๆ แต่ The Book of Mormon ก็นำเสนอมันด้วยการเสียดสีอันแสนจะตลกขบขัน (และหลายครั้งก็ลามก) ซึ่งถือว่าทำออกมาได้อย่างแยบยลแนบเนียนเหนือชั้นมาก มากเสียจนแทบไม่น่าเชื่อว่า god, cunt, และ fuck สามคำนี้มาอยู่ในประโยคเดียวกันแล้วยังเรียกเสียงหัวเราะได้! หรือแม้กระทั่งการเปรียบเปรยพิธีศีลจุ่ม (พิธีรับคนเข้าศาสนาคริสต์) ว่าเป็นการร่วมเพศครั้งแรกของหนุ่มสาวอีกด้วย!

(และองค์ประกอบมุกตลกเสียดสีแนวนี้ อาจไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเท่าใดนัก หากเห็นว่าผู้แต่งบทคือทีมเดียวกันกับผู้ให้กำเนิด South Park นั่นเอง)

ละครเพลงเรื่องนี้ยังเผยให้เห็นชีวิตด้านอื่นๆ ของเหล่ามิชชันนารีมอรมอนด้วย ว่าพวกเค้าก็ไม่ได้ต่างจากคนทั่วไปอย่างเราที่กรี๊ดกร๊าดเมื่อ iPhone ออกรุ่นใหม่ ใช้ชีวิตอยู่กับวัฒนธรรมร่วมสมัยต่างๆ อย่าง Star Wars, Star Trek, LOTR, หรือการ์ตูน Disney มีความรักโลภโกรธหลงเป็นธรรมดา

นอกจากเนื้อหาอันเข้มข้นแต่ไม่ละทิ้งรายละเอียดแล้ว ละครเพลงก็คงจะไม่ใช่ละครเพลง ถ้าขาดเพลงประกอบไปเสีย ซึ่งถือว่า The Book of Mormon ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม เพลงทุกเพลงต่างมีเอกลักษณ์ในตัวเอง มีคุณค่าในการฟังเป็นเพลงแยกเดี่ยวๆ ไม่ได้เป็นแค่เพลงเพลงคั่นบทเพื่อส่งสารสำคัญให้เพลงอื่น แถมยังยกเทคนิคหลากหลายมาใช้อย่างน่าสนใจ มีเพลงเพื่อเต้นแท๊ป เพลงสไตล์แอฟริกัน ไปจนถึงเพลงร็อค (ที่น่าทึ่งมากว่าแทรกลงไปเนียนๆ ระหว่างเพลงสไตล์มิวสิคัลเพลงอื่นได้ยังไง)

แต่ส่วนที่ดีงามที่สุด คงหนีไม่พ้นคำถามหลักที่ถูกโปรยทิ้งไว้ทั้งเรื่อง ว่าตกลงแล้วศาสนาคืออะไร มีจุดประสงค์ใดกันแน่ … ศาสนาคือประวัติศาสตร์หลักธรรมคำสอนเมื่อหลายร้อยพันปีก่อน เพื่อช่วยให้ผู้ที่เชื่อรอดพ้นจากไฟนรกในวันที่ต้องทิ้งร่างไร้ลมหายใจ หรือศาสนาคือนิยายแฟนตาซีที่มีข้อคิดคติสอนใจ เพื่อเปลี่ยนแปลงซ่อมแซมให้โลกใบนี้กลายเป็นสวรรค์ในวันที่เรายังมีชีวิต

neizod

author