วงแหวนเว็บ

neizod's speculation

insufficient data for meaningful answer

วันในสัปดาห์

Friday, March 3, 2023, 10:44 PM

หนึ่งปีมี 365 วัน (โดยประมาณ) และหนึ่งเดือนก็มี 30 วัน (โดยประมาณ) นั่นเป็นความรู้ที่บรรพชนของเราสังเกตและรับทราบมาอย่างเนิ่นนาน โดยมันเป็นสิ่งที่ดวงดาวบนฟากฟ้าส่งผลกระทบต่อมนุษย์โดยตรง1 แต่ทำไมหนึ่งสัปดาห์จึงต้องมี 7 วันหล่ะ? มีเหตุการณ์ธรรมชาติอะไรที่เกี่ยวเนื่องกำกับเลขตัวดังกล่าว? … คำตอบอาจทำให้ผิดหวัง เพราะว่ามันไม่ได้มีเหตุผลทางธรรมชาติเข้ามาเกี่ยวข้องเลย การเลือกเลข 7 มาใช้นั้นเป็นสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นมาล้วนๆ2

อึมมม จะบอกไปถึงขั้นว่าธรรมชาติไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเลยก็คงไม่ถูก เพราะหนึ่งในเหตุผล(เล็กๆ)ที่เราเลือกเลข 7 มาใช้ ก็เพราะว่าคนโบราณมองเห็นเทหวัตถุ (heavenly body) ที่โดดเด่นด้วยตาเปล่าอยู่ 7 ชิ้น ซึ่งก็คือ

  1. ☉ ดวงอาทิตย์
  2. ☾ ดวงจันทร์
  3. ♂ ดาวอังคาร
  4. ☿ ดาวพุธ
  5. ♃ ดาวพฤหัส
  6. ♀ ดาวศุกร์
  7. ♄ ดาวเสาร์

เราเลยเรียกชื่อวันต่างๆ ตามดวงดาวเหล่านั้น …

… เรื่องที่น่าประหลาดใจก็คือ หลายวัฒนธรรมบนโลกที่เลือกใช้ระบบนี้ ต่างก็เรียกชื่อวันด้วยดวงดาวในลำดับดังกล่าวเหมือนกันทั้งหมด!3 ซึ่งจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ต่างๆ ที่เราค้นพบมา นี่น่าจะเรียกได้ว่าเป็นเหตุการณ์โลกาภิวัตน์ (globalization) ที่มีมาก่อนกาลเลยทีเดียว

เริ่มจากอู่ข้าวอู่น้ำวัฒนธรรมมนุษย์ ที่ชาวบาบิโลน/สุเมเรียน (หรืออาจย้อนกลับไปได้ไกลกว่านั้น) ได้วางรากฐานระบบ 7 วันต่อสัปดาห์ด้วยชื่อดวงดาวมานับหมื่นปีก่อน จนต่อมาชาวกรีกโบราณได้รับระบบดังกล่าวมาปรับใช้ โดยเปลี่ยนไปเรียกชื่อวันต่างๆ ด้วยชื่อเทพเจ้าของตนแทน (จึงทำให้เทพเจ้ามีดวงดาวประจำตน–หรือไม่งั้นก็ในทางกลับกัน) และต่อมาชาวโรมันโบราณก็ได้เปลี่ยนชื่อเทพประจำวันเหล่านั้นให้เป็นเทพเจ้าแบบโรมันอีกต่อหนึ่ง (แต่ยังคงไว้ซึ่งความเป็นเทพองค์เดิมอยู่) ซึ่งก็คือ

  1. Sol / Helios
  2. Luna / Selene
  3. Mars / Ares
  4. Mercurius / Hermes
  5. Jove / Zeus
  6. Venus / Aphrodite
  7. Saturn / Kronos

ดังนั้นเมื่อโลกตะวันตกแผ่ขยายอำนาจตั้งแต่ราวสองพันปีก่อน จึงได้นำพาให้ระบบดังกล่าวแพร่หลายไปยังวัฒนธรรมต่างๆ ทั่วทุกมุมโลกด้วยเช่นกัน เช่นประเทศไทยเราที่รับระบบสัปดาห์มาจากฮินดูอีกที (และฮินดูก็รับมาจากโรมันช่วงราวศตวรรษที่ 6) จึงเทียบเคียงเป็นเทพเจ้า/ดวงดาวของตนได้ดังนี้

  1. सूर्य สุริยา
  2. चंद्र จันทรา
  3. मंगल มงคล
  4. बुध พุธ
  5. बृहस्पति (गुरु) พฤหัสบดี (กูรู)
  6. शुक्र ศุกร์
  7. शनि ศนิ

อันที่จริงแล้วชาวฮินดูบูชาเทพเจ้าแห่งฟากฟ้าเยอะกว่าชาวกรีก-โรมันอยู่หน่อยนึง โดยมีราหู (राहु) และเกตุ (केतु) เพิ่มเข้ามา อย่างไรก็ตามเทพทั้งสององค์นั้นไม่ได้มีเทหวัตถุบนท้องฟ้าเป็นตัวแทนจริงๆ แต่เป็นตำแหน่งโหนดขึ้นและลงของดวงจันทร์ (เกี่ยวเนื่องกับการเกิดอุปราคา) ซึ่งทั้งหมดนี้รวมกันเป็นนพเคราะห์ตามความเชื่อของชาวฮินดูนั่นเอง

ส่วนวัฒนธรรมทางฝั่งตะวันออกอย่างญี่ปุ่น(และเกาหลี)ก็เรียกชื่อวันต่างๆ ดังนี้

  1. にち ดวงอาทิตย์
  2. げつ ดวงจันทร์
  3. ไฟ / ดาวอังคาร
  4. すい น้ำ / ดาวพุธ
  5. もく ไม้ / ดาวพฤหัส
  6. きん ทอง / ดาวศุกร์
  7. ดิน / ดาวเสาร์

นอกจากสองวันแรกที่มาจากดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ซึ่งเป็นเทหวัตถุขนาดใหญ่บนฟากฟ้าแล้ว ชื่อดาวเคราะห์อีกห้าดวงที่เหลือนั้นยังเกี่ยวพันระบบธาตุทั้งห้า (五行) อีกด้วย

น่าเสียดายว่าประเทศจีนซึ่งเป็นทางผ่านของระบบดังกล่าวไปยังญี่ปุ่นและเกาหลี (จีนรับระบบเจ็ดวันต่อสัปดาห์เข้ามาตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 4-8) ได้ผ่านช่วงล้างบางปฏิวัติวัฒนธรรมไปเสียก่อน ทำให้ปัจจุบันชาวจีนเรียกชื่อวันด้วยการนับเลขไล่ไปเลย (วันจันทร์คือวันที่หนึ่งของสัปดาห์ วันอังคารคือวันที่สอง ฯลฯ) จะคงไว้ก็แค่วันอาทิตย์ที่ยังคงให้เกียรติดวงดาวด้วยการกล่าวว่ามันคือวัน 星期日 (วันแห่งดวงอาทิตย์ของสัปดาห์)

อันที่จริงประเทศในกลุ่มสลาฟ (รัสเซีย ยูเครน เช็ก ฯลฯ) ก็นิยมชมชอบการเรียกชื่อวันด้วยการนับเลขเช่นกัน นี่อาจจะเป็นมรดกตกทอดมาจากลัทธิคอมมิวนิสต์หละมั้ง(?)

ส่วนปัจจุบันชาวตะวันตกหลายชาติก็ยังคงยึดเหนี่ยวกับระบบดั้งเดิมอย่างเหนียวแน่น คือเรียกชื่อวันต่างๆ ด้วยดวงดาว/เทพเจ้าโรมันตามรากฐานที่บรรพชนวางไว้ แต่มีการปรับปรุงเล็กน้อยตามอิทธิพลของศาสนาคริสต์ คือ เรียกวันอาทิตย์ว่าเป็นวันของพระผู้เป็นเจ้า (domenica) และเรียกวันเสาร์ว่าวันสะบาโต (sabato) แทน ชาวคริสต์เลยพักผ่อนวันเสาร์และไปเข้าโบสถ์วันอาทิตย์นั่นเอง

สำหรับภาษาอังกฤษจะมีความยุ่งเหยิงเพิ่มเติมเล็กน้อย เพราะได้รับอิทธิพลจากเยอรมัน (แองโกล-แซกซัน) ทับเข้าไปอีกต่อหนึ่ง จึงมีการเทียบเคียงเปลี่ยนตัวจากเทพเจ้าโรมันให้กลายเป็นเทพเจ้านอร์สที่ชาวเยอรมันนับถือ (ไม่ใช่เป็นแค่การเปลี่ยนชื่อเหมือนตอนเทพเจ้ากรีก-โรมัน) จึงทำให้กลายเป็น

  1. Sunday วันแห่งดวงอาทิตย์
  2. Monday วันแห่งดวงจันทร์
  3. Tuesday วันแห่ง Týr เทพสงคราม (เทียบเคียง Mars เทพสงคราม)
  4. Wednesday วันแห่ง Odin เทพผู้นำทางวิญญาณ (เทียบเคียง Mercury เทพแห่งการเดินทาง)
  5. Thursday วันแห่ง Thor เทพสายฟ้า (เทียบเคียง Jupiter ที่ใช้สายฟ้าเช่นกัน)
  6. Friday วันแห่ง Frigg/Freya เทพีความงาม (เทียบเคียง Venus เทพีความงาม)
  7. Saturday วันแห่ง Saturn คงไว้เป็นเทพโรมัน

แล้วทำไมเราถึงไล่เรียงลำดับดวงดาวต่างๆ มาเป็นชื่อวันที่ดูแล้วเหมือนกับการสุ่มอย่างไร้ระบบแบบแผนเช่นนี้? ทำไมถึงไม่ใช่ลำดับที่เรารู้จักกันดีที่ไล่เรียงดาวเคราะห์ตามระยะห่างจากดวงอาทิตย์ว่าคือ ดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก(และดวงจันทร์) ดาวอังคาร ดาวพฤหัส ดาวเสาร์ แทนหละ

ประเด็นแรกคือชาวกรีกโบราณนั้นมองว่าโลกเป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาล4 ดังนั้นระยะห่างของดวงดาวต่างๆ (คำนวณผ่านความเร็วในการเคลื่อนที่เทียบกับดาวพื้นหลัง) เรียงตามลำดับจากโลกไล่ออกไปได้แก่ ดวงจันทร์ ดาวพุธ ดาวศุกร์ ดวงอาทิตย์ ดาวอังคาร ดาวพฤหัส ดาวเสาร์

ประเด็นที่สองก็คือ ชาวกรีกโบราณนั้นไม่ได้แค่ตั้งชื่อวันในสัปดาห์เพื่อเป็นเกียรติแด่เทพเจ้า แต่ยังคิดไปถึงขั้นที่ว่ามีเทพเจ้าประจำแต่ละชั่วโมงกันเลยทีเดียว

และในหนึ่งวันของชาวกรีกนั้นก็มี 24 ชั่วโมง

ดังนั้นจึงได้ว่า $24 \equiv 3 \pmod{7}$ หรือก็คือเมื่อเราไล่บูชาเทพประจำชั่วโมงตามลำดับไปเรื่อยๆ พอขึ้นวันใหม่จะได้ว่าเทพองค์แรกของวันนี้ก็คือเทพ 3 องค์ถัดมาจากเทพองค์แรกของเมื่อวานนั่นเอง ดั่งจะเห็นได้จากตารางต่อไปนี้

0:00 1:00 2:00 3:00 4:00 5:00 6:00
7:00 8:00 9:00 10:00 11:00 12:00 13:00
14:00 15:00 16:00 17:00 18:00 19:00 20:00
21:00 22:00 23:00 0:00    

รูปที่เค้าชอบเอามาประกอบคำอธิบายนี้คือดาวเจ็ดแฉก ซึ่งเริ่มจากวาดรูปวงกลมที่มีเทพเจ้าทั้งเจ็ดตามลำดับ จากนั้นลากเส้นเชื่อมเทพแต่ละองค์ให้เป็นรูปดาว โดยเว้นระยะห่างการสร้างแฉกครั้งละสามองค์นั่นเอง

ดาวเจ็ดแฉกสำหรับเรียงลำดับวัน

แต่เอาจริงๆ แล้วอะไรคือเหตุผลสำคัญที่ทำให้หนึ่งสัปดาห์ถึงมี 7 วันกันแน่? เพราะถึงแม้ว่าเทหวัตถุบนท้องฟ้าจะสวยสดงดงามขนาดไหน แต่ถ้ากรอบแนวคิดสิ่งประดิษฐ์จากมนุษย์นั้นไม่มีประโยชน์ไร้ซึ่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของเรา สิ่งประดิษฐ์ชิ้นนั้นก็คงล้มหายตายจากไปตั้งนานแล้ว ไม่อยู่เหลือรอดได้นานนับพันปีจนถึงทุกวันนี้หรอก

จากหลักฐานเท่าที่เรามี การหนึ่งสัปดาห์มี 7 วันนั้น แม้จะไม่ได้มีเหตุผลทางธรรมชาติมากำกับ แต่มันเป็นผลจากโครงสร้างเชิงสังคมของมนุษย์โดยตรง ซึ่งมีเหตุมาจากการที่ตลาดในยุคโบราณนั้นไม่ได้เปิดทุกวัน แต่จะเปิดเพียงแค่หนึ่งวันต่อ “สัปดาห์” เท่านั้น ตัวเลข 7 จึงถือว่าเป็นระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับการดำรงชีวิต (ปัจจุบันยังเหลือร่องรอยในบางวัฒนธรรม เช่น ภาษาตุรกีเรียกวันอาทิตย์ว่า Pazar ที่แปลตรงตัวว่าตลาด)

แน่นอนว่าเลข 7 นี้ไม่ใช่เลขวิเศษอะไร ในสังคมวัฒนธรรมอื่นๆ ก็มีช่วงเวลาที่ตลาดเปิดถี่แตกต่างกัน เช่น ชาวชวาทุกวันนี้ยังคงใช้ระบบ 5 วันต่อสัปดาห์ควบคู่ไปกับสัปดาห์แบบสากล หรือชาวจีนโบราณก็เคยใช้สัปดาห์ละ 10 วันมาก่อน หรือแม้แต่ชาวโรมันที่เป็นตัวตั้งตัวตีของระบบ 7 วันต่อสัปดาห์ ก่อนหน้านั้นก็ยังเคยใช้สัปดาห์ละ 8 วันอีกด้วย

เมื่อเข้าสู่ยุคปัจจุบัน กับเมืองที่ขยายขนาดขึ้นจนมีประชากรจำนวนมหาศาลคอยสับเปลี่ยนหมุนเวียนหน้าที่กัน ตลาดสามารถเปิดได้ทุกวันไม่จำเป็นต้องมีวันหยุดอีกต่อไป แนวคิดเรื่องสัปดาห์จึงย้ายไปผูกกับชีวิตการทำงานแทน ซึ่งก็คือระบบที่เราคุ้นชินกันในทุกวันนี้ — ทำงานกันห้าวันแล้วหยุดสองวันนั่นเอง

ซึ่งนี่ก็อาจจะยังไม่ใช่คำตอบสุดท้ายว่าทำไมถึงต้องเป็น 7 วันต่อสัปดาห์ เพราะที่ผ่านมาก็มีการท้าทายแนวคิดนี้มาตลอด เช่น ช่วงปฏิวัติฝรั่งเศส (1793-1805) ที่พยายามเปลี่ยนทุกอย่างให้อยู่ในเลขฐานสิบ (10 ชั่วโมง/วัน, 100 นาที/ชั่วโมง, ระบบเมตริก) แน่นอนว่ารวมไปถึงการทดลองใช้ระบบ 10 วันต่อสัปดาห์ด้วย (และพบว่ามันไม่เวิร์ก) หรือกับอดีตสหภาพโซเวียต (1929-1940) ที่ทดลองใช้ระบบ 5 วันต่อสัปดาห์ โดยแบ่งเป็นทำงานสี่แล้วหยุดหนึ่ง แต่จะสุ่มวันหยุดให้กับแรงงานแต่ละคนให้ไม่ซ้ำกัน เพื่อให้สามารถเปิดโรงงานได้อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปีเพราะไม่มีคนงานหยุดพร้อมกันนั่นเอง (และก็พบว่ามันไม่เวิร์กอีกเช่นกัน)

อาจจะเรียกได้ว่าเลข 7 มันบังเอิญชนะ (และชนะมาตลอด) เลยทำให้เรายังคงใช้สัปดาห์ละ 7 วัน (พร้อมทั้งอ้างเหตุผลเรื่องดวงดาวมาเกี่ยวข้อง) จนถึงทุกวันนี้

แต่ในโลกคู่ขนาน เราอาจจะมีสัปดาห์ละ 12 วันก็ได้นะ ใครจะรู้ 🤷‍♀️

อ้างอิง

  1. เราจำเป็นต้องเข้าใจวงจรปีเพื่อการเพาะปลูก เราจำเป็นต้องเข้าใจวงจรเดือนเพื่อการเดินเรือ 

  2. บางวัฒนธรรมก็มีจำนวนวันในสัปดาห์แตกต่างไป แต่จำนวน 7 วันต่อสัปดาห์คือมาตรฐานสากลโลก 

  3. ลองเทียบกับชื่อเดือน ที่แต่ละวัฒนธรรมก็มีรูปแบบการตั้งชื่อที่ต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง เช่นของไทยที่อิงจักรราศี จีน-ญี่ปุ่นใช้ตัวเลข โรมันบูชาเทพ/รัฐบุรุษ 

  4. โลกเป็นจุดศูนย์กลางในโมเดลของทอเลมี อย่างไรก็ตามยังมีโมเดลของอริสตาร์คัสที่ให้พระอาทิตย์เป็นจุดศูนย์กลางด้วยเช่นกัน แต่โมเดลดังกล่าวไม่ได้รับความนิยมเท่า 

neizod

author